Digital Farmer หรือ เกษตรกรอัจฉริยะยุคใหม่ คือกลุ่มของเกษตรกรที่ปรับตัวและเรียนรู้ พร้อมนำเทคโนโลยี IoT ที่มีความแม่นยำสูงเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต รวมถึงประหยัดเวลาในทุก ๆ เรื่อง เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกของเกษตรกรยุคไอที

ประโยชน์ของ IoT หรือ Internet of Thing ตัวช่วยสำคัญของเหล่า Digital Farmer

ทุกวันนี้ IoTถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตรเพื่อใช้ในการจัดการฟาร์มให้มีประสิทธิภาพและใช้แรงงานคนให้น้อยที่สุด โดยได้นำเทคโนโลยี RFID Sensors (Radio Frequency Identification Sensors) เข้ามาใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการเกษตร เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้นสามารถส่งต่อสัญญาณกับอุปกรณ์ควบคุมหลักได้ เช่น การใช้เซ็นเซอร์วัดข้อมูลต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์เหล่านี้สามารถนำมาวางเป็นระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless Sensor Network) อีกทั้งสามารถนำไปติดตั้งหรือปล่อยในพื้นที่ทำการเกษตร เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ได้อาทิเช่น

  • ควบคุมการรดน้ำ ช่วยคำนวณปริมาณน้ำและเวลาในการรดน้ำที่เหมาะสมช่วยทุ่นแรงและลดการสิ้นเปลืองได้
  • ควบคุมโรคและศัตรูพืช เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรคศัตรูพืช ฉีดยาฆ่าแมลงหรือศัตรูพืชเมื่อเวลาที่จำเป็นเท่านั้น
  • ติดตามสภาพดิน เป็นการนำเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรมาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพดิน ความชื้น แร่ธาตุ ทำให้ทราบว่าควรปลูกพืชชนิดใด และควรปรับปรุงดินอย่างไรให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชชนิดนั้น ช่วยลดการสูญเสียอย่างสิ้นเ
  • จัดเก็บฐานข้อมูลการเพาะปลูก เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตและควบคุมต้นทุนการผลิตได้ รวมไปถึงช่วยในการวางแผนการผลิตเพื่อให้เป็นไปตามกลไกของตลาด
  • ฟาร์มแม่นยำ เป็นการนำเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรมาใช้ในการพยากรณ์อากาศแบบเจาะจงพื้นที่ ตรวจสภาพพืชในพื้นที่เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์

เรียกได้ว่า IoT และเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นตัวช่วยสำคัญของ “Digital Farmer” ที่ช่วยให้การบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายขึ้น อีกทั้งในระยะยาวถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรยุคไอทีเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยลดทั้งแรงงานและต้นทุนอื่น ๆ แล้ว ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาฟาร์มในอนาคตได้อีกด้วย ถือว่าเป็นการยกระดับเกษตรกรไทยให้ก้าวไกลไปพร้อม ๆ กับนวัตกรรมโลกได้เป็นอย่างดี