การพยากรณ์อากาศ คือ การคาดหมายสภาวะลมฟ้าอากาศ รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาข้างหน้า โดยวิธีการสังเกตสภาพของอากาศในพื้นที่ โดยเครื่องตรวจวัด จะมีเซนเซอร์ต่างๆ ที่อยู่บนสถานี คือ เซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ความชื้น ค่าปริมาณน้ำที่มีในดิน ทิศทางลม ความเร็วลม ความเข้มแสง ค่าแสดงตำแหน่ง GPS และส่งข้อมูลต่างๆ แสดงผลขึ้นระบบก้อนเมฆ Cloud Server และอ่านค่าผ่านแอฟพลิเคชั่น มือถือ การพยากรณ์อากาศ มีประโยชน์ ดังนี้ 1.เพื่อให้ข่าวอากาศล่วงหน้าแก่ประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการเกษตร การประมง ชาวไร่ และอื่นๆ เพื่อเตรียมการและปฏิบัติตน ปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับกาลอากาศ 2.เพื่อช่วยให้การคมนาคมทางทะเล และทางอากาศปลอดภัยยิ่งขึ้น 3.เพื่อเตือนภัยร้ายแรงจากลมและพายุต่างๆ

 

ที่มา : http://www.smartfarmdiy.com/

โรงเรือนสมาร์ทฟาร์มอัจฉริยะ ก็คือโรงเรือนอัจฉริยะโดยในโรงเรือนมีการปลูกพืชที่มีการให้น้ำ ธาตุอาหาร และให้แสงเพื่อสังเคราะห์ โดยการควบคุมจากระบบคอมพิวเตอร์สมองกล แบบอัตโนมัติ หรือกึ่งอัตโนมัติก็ได้ ซึ่งจะปลูกในโรงเรือนที่มีหลังคา แบบม่านพรางแสงเปิด-ปิด ไฟฟ้า หรือแบบเปิดโล่ง หรือในที่ร่มก็ได้ มีระบบปิดป้องกันแมลงหรือศัตรูพืชเข้ามากัดกินผลผลิต สามารถตรวจสอบได้จากกล้องวงจรปิดและบันทึกเป็นวีดีโอได้ ปลูกพืชได้โดยไม่จำกัดฤดูกาล ได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ได้ผลผลิตตลอด และสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก เพิ่มผลผลิตได้ง่าย เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค.

 

ที่มา : http://www.smartfarmdiy.com/

ระบบ Vertical Hydroponics กลายเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็วว่าเป็นรูปแบบการปลูกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและประหยัดพื้นที่เพาะปลูก ให้ประสิทธิภาพสำหรับการผลิตอาหารได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการผลผลิตที่ปลูกในบ้านภายใต้แสงไฟเทียมหรือกลางแจ้งในแสงแดดเพาะปลูก Strawberry Hydroponic Tower เป็นตัวอย่างที่เกษตรกรเริ่มหันมาปลูกมากขึ้น

สตรอเบอรี่

เป็นตัวอย่างของพืชและผลไม้ทีมีการเติบโตแบบ hydroponically ในโรงเรือนหรือในร่มก็สามารถผลิตสตรอเบอรี่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ตลอดทั้งปี หรือจำหน่ายส่งขายสู่ตลาดได้ การผลิตระบบนี้ไม่จำเป็นต้องหยุดตามฤดูกาลเพราะเป็นระบบไฮโดรโปนิกส์ซึ่งสามารถผลิตได้ตลอดทั้งปี โดยตั้งค่าระบบปลูกให้ทำงานได้ทั้งกลางแจ้งหรือในร่มโดยใช้แสงประดิษฐ์เทียม LED Grow Light แทนได้.

 

ที่มา : http://www.smartfarmdiy.com/

โครงการ ไร่อัจฉริยะเป็นการประยุกต์และใช้งานเทคโนโลยี Precision Farming / Intelligent Farming / Smart Farm ในไร่ โครงการนี้เป็นการผสมผสาน เทคโนโลยีหลายๆ ชนิด เพื่อให้เจ้าของไร่ หรือผู้จัดการฟาร์ม สามารถเฝ้าติดตาม ความเป็นไปภายในไร่ จากอินเตอร์เน็ต และ โทรศัพท์มือถือ โดยอาศัยเทคโนโลยี Multi-functional and Multi-dimensional Sensors เช่น

I sense technology

  • เซ็นเซอร์ตรวจวัดสภาพภูมิอากาศ จะตรวจสภาพอุณหภูมิ และความชื้นในอากาศ ความเร็วและทิศทางลม ปริมาณน้ำฝน พลังงานแสงอาฑิตย์ที่ตกกระทบ ความเคลื่อนไหวของมวลอากาศในไร่
  • เซ็นเซอร์ดินจะตรวจอุณหภูมิ และความชื้นในดิน กล้องวิดีโออะเรย์ จะรายงานกิจกรรมและความเป็นไปในไร่
  • จมูกอิเล็กทรอนิกส์ จะตรวจสภาพทางเคมีของดิน ติดตามคุณภาพขององุ่น และไวน์ที่ผลิตออกมา รวมทั้งการวิจัยและพัฒนารสชาติของไวน์ร่วมกับนักชิมไวน์
  • เทคโนโลยี Machine Vision จะตรวจสอบความเป็นไปของต้นพืช สภาพผลผลิต รวมไปถึงการตรวจวัดแมลงและศัตรูพืช
  • เซ็นเซอร์ตรวจวัดพืช จะตรวจวัดการเติบโตของต้นพืช การออกดอก การออกลูก กิจกรรมของใบพืช สุขภาพของต้นพืช เทคโนโลยีเรดาห์จะตรวจสอบ ทำแผนที่สภาพดิน และลักษณะการเติบโตของรากในไร่ รวมไปถึงการนำไมโครชิพ และ GPS มาใช้ติดตามกิจกรรมในไร่

 

ข้อมูลต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด จะถูกรวบรวมและแสดงผลอย่าง Real Time และนำออกมาให้เจ้าของไร่ได้รับรู้ ผ่านซอฟต์แวร์ช่วยตัดสินใจ ที่บูรณาการข้อมูลภูมิสารสนเทศ และ อุตุนิยมวิทยาทั้งระดับไร ่และระดับภูมิภาค

 

ที่มา : http://smartfarmthailand.com/precisionfarming/index.php/product/micro-climate-monitoring/72-i-sense-technology

หลักการทำงานของ Autonomous Sensor Drone

Autonomous Sensor Drone มีการทำงานแบบระบบอัตโนมัติ ที่ผู้ใช้สามารถกำหนดแผนการบินได้ตามต้องการ เช่น ความสูงเป้าหมายในการวัด ความเร็วในการบินสำรวจ ระยะเวลาในการสำรวจ เป็นต้น เมื่อโดรนไปถึงยังสถานที่เป้าหมายแล้ว ระบบแก๊สเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่บนตัวโดรนจะเริ่มทำภารกิจ โดยการวัดปริมาณและความเข้มข้นของสารเคมีที่ลอยอยู่ในอากาศ และส่งสัญญาณกลับมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ภาคพื้นดินด้วยวิธีการส่งสัญญาณแบบไร้สาย เครื่องคอมพิวเตอร์จะแสดงผลออกมาทางหน้าจอ หลังจากเสร็จภารกิจการบินโปรแกรมจะวิเคราะห์ และคำนวณผลของการวัดกลิ่นแสดงออกมาทั้งในเชิงคุณภาพ และปริมาณ  

การประยุกต์ใช้งาน Autonomous Sensor Drone
1. การตรวจวัดกลิ่นสารเคมีในอากาศ การติดตั้งระบบแก๊สเซ็นเซอร์บนตัวโดรน จะทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการตรวจวัดกลิ่นเหม็น หรือสารเคมีที่รั่วไหลออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือโรงปศุสัตว์ขนาดใหญ่ได้ รวมถึงยังสามารถลดระยะเวลาในการตรวจวัด เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่มีความคล่องตัวสูง สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาในชุมชนได้อย่างรวดเร็ว ลดข้อพิพาทและผลเสียที่อาจจะเกิดตามมาในกรณีการลักลอบปล่อยมลพิษ หรือการเฝ้าระวังอุบัติภัยต่างๆ
2. การทำแผนที่ไร่ ระบบ Autonomous Sensor Drone สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ ได้มากมาย ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ทำการติดตั้งลงบนตัวโดรน การติดตั้งกล้องถ่ายรูปเพื่อทำแผนที่ทางการเกษตรถือเป็นหนึ่งในการประยุกต์ใช้โดรนที่น่าสนใจ เนื่องจากถ้าเกษตรกรสามารถรู้สภาพพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูกได้ตามต้องการ จะทำให้เกษตรกรสามารถวางแผน และวิเคราะห์แผนในการเพาะปลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม อีกทั้งแผนที่ของพื้นที่ทำการเกษตรยังสามารถนำไปเข้ากระบวนการวิเคราะห์ภาพ เพื่อบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ได้อีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา: http://smartfarmthailand.com/precisionfarming/index.php/uavs-agvs-2

                              smartvineyard7

  การนำเอาข้อมูลทางด้านภูมิศาสตร์ และสภาพภูมิอากาศ มาหาความสัมพันธ์ กับผลผลิตที่เกิดขึ้นจากเกษตรกรรม โดยมีสมมติฐานว่าปัจจัยเหล่านั้นมีผลโดยตรงกับปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ข้อมูลที่น่าจะเกี่ยวข้อง กับการผลิต ได้แก่ ปริมาณแสงที่พืชได้รับ ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงไป และปริมาณน้ำที่ระเหยขึ้นมา ลักษณะของดินที่เพาะปลูก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ สามารถได้มาจากดาวเทียมและสถานีวัด เป็นงานที่น่าจะพัฒนาขึ้นในประเทศไทยให้เกิดความเข้มแข็ง ตัวอย่างที่คณะวิจัยของ ดร. กฤษณะเดช เจริญสุธาสินี แห่งมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้เคยศึกษาได้แก่การศึกษารอบการปลูกของมังคุด โดยนำข้อมูลภูมิศาสตร์ และสภาพภูมิอากาศของสวนมังคุด ในแปลงปลูกภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคอีสานตอนล่าง มาหาความสัมพันธ์กับผลผลิตมังคุด โดยการสร้างโมเดลที่เรียกว่า “โมเดลของน้ำที่พืชใช้งานได้จริง” (Plant Avaliable Water – PAW) นำมาสู่การสนับสนุนสมมติฐานที่ว่ามังคุดเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น และสามารถทำนายได้ว่า หากปีใดมีฝนตกและมีการทิ้งช่วงที่ดีพอ จะมีผลผลิตมังคุดที่ดี และผลผลิตมังคุดจะแย่หากมีฝนชุกจนเกินไป

      ข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ได้จากดาวเทียม เป็นข้อมูลเฉลี่ยเชิงพื้นที่บริเวณกว้าง ซึ่งความจริงแล้ว ในฟาร์มหรือไร่นา ที่มีขนาดใหญ่ที่แม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ก็ยังอาจมีผลผลิต ที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ย่อยๆได้ ดังนั้นจึงต้องมีการเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม ณ พื้นที่จริงด้วย ในเวลาแบบเรียลไทม์ ปัจจุบันเซ็นเซอร์ตรวจสภาพอากาศ หรือ Weather Station ได้พัฒนาไปมาก ทำให้สามารถส่งข้อมูลแบบไร้สาย จากสถานที่ติดตั้งในสวนให้มายังบ้านเจ้าของได้ ทั้งนี้ ได้มีการพัฒนาไปหลายรูปแบบ เช่น มีการลดขนาดให้เล็กลง และสามารถเชื่อมเครือข่ายข้อมูลแบบตามใจชอบ หรือ แบบ ad hoc เช่น หากนำเซ็นเซอร์เหล่านี้ไปติดตั้งตามจุดต่างๆ ข้อมูลทั้งหมด จะกระโดดไปมาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง จนมาถึงคอมพิวเตอร์ของเจ้าของสวนได้ ทำให้เซ็นเซอร์ไร้สายนี้ สามารถนำไปติดตั้งครอบคลุมพื้นที่ได้กว้าง ขอเพียงให้เซ็นเซอร์แต่ละตัวอยู่ในรัศมีทำการของเซ็นเซอร์อีกตัวก็พอ เซ็นเซอร์ตรวจสภาพอากาศ จะบันทึกข้อมูลและรายงานผลมายังบ้านเจ้าของสวน ทำให้สามารถตัดสินใจได้ทันท่วงที เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการนำไปใช้ในสวนองุ่น และสามารถทราบล่วงหน้าถึงน้ำค้างแข็ง ที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การปกป้องผลผลิต 

      ปัจจุบันคณะผู้วิจัย เป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้เซ็นเซอร์ตรวจสภาพอากาศแบบ Micro-climate Monitoring ได้แก่ ข้อมูลอุณหภูมิในดินและในอากาศ ความชื้นในดินและในอากาศ ความเข้มแสง ความเร็วลม ความดันอากาศ และการนำไปใช้ หาความสัมพันธ์กับสภาพผลผลิต ซึ่งคณะผู้วิจัย ได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับใช้วิเคราะห์ข้อมูล พยากรณ์อากาศ ณ ตำแหน่งของฟาร์มว่าจะเกิดอะไรขึ้น รวมไปถึงการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยี Micro-climate Monitoring นี้ สามารถนำมาใช้ควบคุม และจัดการการเปิดปิดระบบรดน้ำสำหรับพืชได้ โดยวิเคราะห์จากความต้องการน้ำของพืช ภายใต้สภาพอากาศแบบนั้นๆ หากเป็นฟาร์มปศุสัตว์ ก็สามารถนำมาใช้ตัดสินใจเปิด-ปิดระบบระบายอากาศ หรือ ยาฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น คณะผู้วิจัยประกอบด้วย ทีมงานของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถพัฒนาทั้งระบบซอฟต์แวร์ และ ฮาร์ดแวร์ ได้ โดยสามารถพัฒนา Solution ให้เหมาะกับโจทย์ ของเกษตรความแม่นยำสูงที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น โปรแกรมควบคุม การจ่ายน้ำในฟาร์มและไร่นาตามข้อมูลวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อม หรือการควบคุมระบบอื่นๆ ในฟาร์ม โดยอาศัยข้อมูลจากสถานีตรวจอากาศ และ เครือข่ายของเซ็นเซอร์โมเลกุล รวมไปถึงข้อมูลจากดาวเทียมต่างๆ 

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณวิจัยจาก มหาวิทยาลัยมหิดล และ NECTEC โดยได้รับการเอื้อเฟื้อด้านสถานที่ แรงบันดาลใจ (Mental Support) องค์ความรู้ด้านการปลูก และดูแลไร่ไวน์ จาก คุณวิสุทธิ์ โลหิตนาวี คุณสกุณา โลหิตนาวี และ คุณนิกกี้ โลหิตนาวี เจ้าของไร่ไวน์ GranMonte เขาใหญ่ นครราชสีมา

 

ที่มา: http://smartfarmthailand.com/precisionfarming/index.php/micro-climate-monitoring-2

ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเลียนแบบการดมกลิ่นของมนุษย์ซึ่งมีพื้นฐานการทำงานคล้ายคลึงกันกับจมูกมนุษย์เพื่อที่จะนำมาแยกแยะกลิ่นซึ่งบางครั้งจมูกของมนุษย์นั้นไม่สามารถแยกแยะได้เนื่องจากข้อจำกัดบางอย่างเช่น ความเข้มข้นของโมเลกุลของกลิ่นนั้นน้อยหรือมากเกินไป จมูกอิเล็กทรอนิกสก็จะมีลักษณะที่เลียนแบบระบบรับรู้กลิ่นในธรรมชาติดังนี้ 

  1. ส่วนรับกลิ่นประกอบไปด้วยตัวนํากลิ่นเข้ามาซึ่งอาจมีมอเตอร์ดูดอากาศ มีท่อรวบรวมกลิ่น (Concentrator) เพื่อให้กลิ่นมีความเข้มข้นสูงขึ้นและที่สําคัญที่สุดก็คือ เซ็นเซอร์รับกลิ่นจํานวนมาก ตั้งแต่ 4 ตัวไปจนถึงนับพันตัว ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับธรรมชาติก็ถือว่าน้อยมาก เช่น สุนัขอาจมีเซลล์รับกลิ่นนับล้านเซลล์ 
  2. ส่วนรวบรวมสัญญาณ ซึ่งจะทําการแปรสัญญาณจากเซ็นเซอร์ (Tranducing) และทําการจัดการสัญญาณ (Signal Conditioning) เช่น ลดสัญญาณรบกวน จากนั้นก็จะแปลงสัญญาณจากอนาล็อกให็เป็นดิจิตอล (A/D Converter) 
  3. ส่วนประมวลผลซึ่งจะนําสัญญาณที่ได้รับมาทําการเปรียบเทียบเชิงสถิติกับฐานข้อมูลที่มีอยู่เดิม ซึ่งอาจจะใช้วิธีการระบบประสาทเทียม (Artificial Neural Networks) เพื่อทําการแยกแยะกลิ่น

                                    enose1

งานประยุกต์ของจมูกอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีได้มากมาย ตั้งแต่ การควบคุมและตรวจสอบคุณภาพอาหาร เช่น น้ําปลาหรือไวน์เป็นของแท้หรือไม่ กุ้ง/ปลาสดหรือไม่ เป็นต้น การวินิจฉัยโรคจากกลิ่นตัวหรือกลิ่นปัสสาวะโดยตรง การหาตรวจวัตถุระเบิดและยาเสพติด การตรวจสอบคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นเทคโนโลยีของจมูกอิเล็กทรอนิกส์อาจนําไปใช้ผสมผสานกับเทคโนโลยีอื่นๆได้อีก เช่น นําไปติดกับหุ่นยนต์ทําให้หุ่นยนต์มีอวัยวะสัมผัสด้านกลิ่น การนําเซ็นเซอร์รับกลิ่นไปรวมกับเทคโนโลยีขี้ผงอัจฉริยะ (Smart Dust) ทําให้สามารถตรวจสอบเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม ในฟาร์มปศุสัตว์หรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ด้วยอภิคุณประโยชน์ของจมูกอิเล็กทรอนิกส์นี่เอง ประเทศต่างๆทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แม้แต่ประเทศกําลังพัฒนาอย่างบราซิลและอาร์เจนตินาซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ล้วนแล้วแต่ขมักเม้นทําวิจัยทางด้านนี้ โดยเฉพาะยุโรปได้ก่อตั้งเครือข่ายจมูกอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาถึง 2 เครือข่ายเพื่อต้องการรักษาความเป็นผู้นําต่อไป ประเทศไทยซึ่งมีความหลากหลายทางด้านทรัพยากรชีวภาพ เป็นผู้นําในการผลิตอาหารของโลกเองกลับยังหลับใหลในเรื่องเหล่านี้ ทั้งๆที่การพัฒนาเทคโนโลยีของจมูกประดิษฐ์นั้นความได้เปรียบอยู่ที่ความเป็นเจ้าของปัญหาหรือสารตัวอย่าง ซึ่งประเทศไทยมีให้ศึกษาได้มากมาย 

      โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ทางทีมงานวิจัยของเราได้นำจมูกอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้ในงานด้านการความคุมคุณภาพของผลผลิตซึ่งก็คือไวน์ ไวน์นั้นเลื่องชื่อในเรื่องของกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์มาแต่ช้านาน ซึ่งในการผลิดไวน์โดยทั่วไปจะมีการทดสอบคุณภาพโดยใช้มนุษย์เป็นผู้ทดสอบหรือนักชิมไวน์นั่นเอง โดยผู้ที่ทำการทดสอบนั้นต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีซึ่งวิธีการนี้ถือเป็นข้อจำกัดหนึ่งในการผลิตไวน์เพราะการควบคุมคุณภาพโดยมนุษย์นั้นบางครั้งอาจมีความผิดเพี้ยนไป ดังนั้นการนำเทคโนโลยีมาใช้จะเป็นการช่วยสร้างมาตรฐานของกลิ่นไวน์ได้

 

ที่มา: http://smartfarmthailand.com/precisionfarming/index.php/product/e-nose/77-electronic-nose

 แนวคิดของการปล่อยหุ่นยนต์เข้าไปในไร่นา แล้วปล่อยให้มันทำงานเอง กำลังได้รับความสนใจจากนักวิจัยทางด้านเกษตรทั่วโลก ในระยะแรกหุ่นยนต์เกษตรกร น่าจะมีลักษณะของนักสืบในไร่นา คอยตรวจหาสิ่งผิดปกติ และตรวจวัดปัจจัยแวดล้อมในการเพาะปลูกต่างๆ ให้แก่เกษตรกร ความชื้นในอากาศ ความชื้นในดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดินในแปลงต่างๆ หรือ สุ่มตัวอย่างๆ ในไร่ เช่น วิ่งไปดูว่าผลไม้ที่ปลูกในแต่ละต้น เป็นอย่างไร มันสามารถเก็บข้อมูลแล้วจดจำได้อย่างแม่นยำ ทำให้เจ้าของไร่ทราบอย่างละเอียดว่าต้นไหนมีผลกี่ลูก ขนาดเฉลี่ยเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้ประเมินวันเก็บเกี่ยว และ ทราบปริมาณผลผลิตได้อย่างแม่นยำ และจากนั้น อีกหน่อย มันก็อาจจะเริ่มทำงานต่างๆ แทนเกษตรกรได้ เช่น การกำจัดแมลง การให้ปุ๋ย การเก็บเกี่ยว

     กลุ่มวิจัย CIMS มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะเพื่อการเกษตรหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • หุ่นยนต์อัตโนมัติภาคพื้นดิน สำหรับการสำรวจและลาดตระเวนทางพื้นดิน
  • อากาศยานอัตโนมัติไร้คนขับขนาดเล็ก สำหรับสำรวจและลาดตระเวนทางอากาศ
  • สถานีตรวจวัดสภาพน้ำ สำหรับสำรวจและลาดตระเวนทางน้ำ

     โดยหุ่นยนต์อัตโนมัติทั้งหมดสามารถติดต่อสื่อสาร และ/หรือ ส่งข้อมูล ภาพถ่าย ตำแหน่ง และข้อมูลอื่นๆ ที่สำคัญทั้งหมด ไปยังฐานบังคับการ และหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ได้อย่างอิสระ ภายใต้การสื่อสารไร้สายแบบ Zigbee และ telemetre ทำให้ผู้ควบคุมสามารถกำหนดเป้าหมายให้หุ่นยนต์แต่ละตัวได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ รวมถึงการดูสถานะของหุ่นยนต์แต่ละตัวเพื่อการดูแล ซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

Agr robot

ที่มา: http://smartfarmthailand.com/precisionfarming/index.php/2014-01-08-06-58-4

ยิ่งในยุคที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าพัฒนาประเทศตามนโยบาย Thailand 4.0 มุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม Value-Based Economy ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความสำคัญของการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจใน Thailand 4.0 โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ (ตามข้อมูลอ้างอิงของ สำนักวิชาการ, สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. 2559)

ทว่า ถ้าพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเรา คงต้องยอมรับว่าอย่างที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เคยกล่าวมื่อปี 2559 ไว้ว่า

“โครงสร้างเศรษฐกิจของเรามีปัญหา ความไม่เท่าเทียมกันขยายห่างขึ้นเรื่อยๆ ภาคที่แข็งแรง คือ ภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคเกษตรเตี้ยลงเรื่อยๆ สิ่งแวดล้อมเสียหาย ปีก่อนน้ำท่วม ปีนี้แล้ง ถ้าเราปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอนาคตเมืองไทยมีปัญหาแน่นอน”

ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการอภิปรายถึงทางเลือกทางรอดของเกษตรกรรมไทยในยุค 4.0 มาโดยตลอด กระทั่งแนวทางหนึ่งที่นำมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เกษตรกรรมไทย คือ การนำเสนอเกษตรกรไทยจะปรับตัวให้เป็น Smart Farmer ซึ่งในเรื่องนี้ ดร.สุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการดำเนินการโครงการคนกล้าคืนถิ่น ได้เคยกล่าวถึงแนวทางนี้ไว้ว่า

“จุดเริ่มต้นหรือที่มาส่วนหนึ่งของ Smart Farmer คือ การไม่ทำร้ายธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น ทำแล้วต้องสบายขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย เช่น การมีพื้นที่เล็ก ๆ แต่สามารถออกแบบให้ปลูกแบบผสมผสานและเกื้อกูลกันได้ ต้องใช้เทคโนโลยีเป็น ซึ่งก็ถูกต้อง เพราะคนที่จะเป็น Smart Farmer ต้องเชื่อมโลกได้เอง Smart Farmer ต้องเข้าใจตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริหารจัดการ เข้าใจธรรมชาติ และเข้าใจเทคโนโลยี”

โดยเทคโนโลยีที่ ดร.สุมิท ได้กล่าวถึง นั่นคือ การประยุกต์ใช้ Internet of Things หรือ IoT ช่วยในการจัดการปลูกพืชในครัวเรือน ในพื้นที่ที่มีจำกัดให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ซึ่งจากประเด็นนี้นำไปเชื่อมโยงถึง Smart Farmer คือตัวเกษตรกรต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ในด้านเกษตรกรรมและเทคโนโลยี สามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ สามารถแก้ไขปัญหาได้ มีความคิด รู้จักการวางแผนงาน และเป็นคนที่รู้จักใช้เทคโนโลยีเพื่อลดปัญหาเรื่องของแรงงานนั่นเอง

และในบทความเรื่อง “แนวทางการประยุกต์ใช้ Internet of Things (IoT) กับ Smart Agriculture 4.0” โดย ฐิติพงษ์ รักษาริกรณ์ นักศึกษาปริญญาโทสาขาวิศวกรรมข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Engineering) วิทยาลัยนวัตกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ก็ได้อธิบายถึงความจำเป็นและประสิทธิผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากเหล่าว่าที่ Smart Farmer สามารถประยุกต์เอาหลักการ IoT มาใช้กับการทำเกษตร ยุค 4.0 ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

http://www.electronicdesign.com/analog/3-ways-iot-revolutionizes-farming

ความหมายที่แท้จริงของ IoT คืออะไร

Internet of Things หรือ IoT นับเป็นเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ที่หมายถึงเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ตู้เย็น โทรทัศน์ และอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเครื่องมือต่างๆ จะสามารถเชื่อมโยงและสื่อสารกันได้โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งในอนาคตของผู้บริโภคทั่วไปจะเริ่มคุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถควบคุมสิ่งของต่างๆ ทั้งจากในบ้าน และสำนักงานหรือจากที่ไหนก็ได้ เช่น การควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน การเปิดปิดไฟ ไปจนถึงการสั่งให้เครื่องรดน้ำต้นไม้ หรือแปลงเกษตรของตนเอง

แต่อย่างไรก็ตามยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่จำเป็นต้องพัฒนาก่อน ถึงจะเกิดเป็น IoT ยกตัวอย่าง เช่น ระบบตรวจจับต่างๆ (Sensors) รูปแบบการ เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ และระบบที่ฝังตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งสำหรับเกษตรกรแล้ว มีคำแนะนำสำหรับการเริ่มต้นเดินบนเส้นทางของ Smart Farmer ด้วยการประยุกต์ใช้แนวทาง IoT ว่า ควรเริ่มที่ …

1. ควบคุมการรดน้ำ โดยคำนวณปริมาณน้ำและเวลาในการรดน้ำที่เหมาะสม

2. ควบคุมโรคและศัตรูพืช โดยเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมโรคศัตรูพืช ฉีดยาฆ่าแมลง ศัตรูพืช เมื่อจำเป็นเท่านั้น

3. ติดตามสภาพดิน ตรวจสอบคุณภาพดิน ความชื้น แร่ธาตุ ทำให้เกษตรกรทราบว่าควรปลูกพืชชนิดใด และปรับปรุงดินอย่างไรให้เหมาะสมกับการปลูกพืชนั้น

Aquaponics ต้นแบบการนำ IoT สร้างสมดุลธรรมชาติระหว่างพืชและปลา

Credit : https://www.theaquaponicsource.com/what-is-aquaponics/

เมื่อยังไม่ได้ลงมือทำ เกษตรกรหลายคนย่อมคิดว่าการปรับเปลี่ยนมาทำการเกษตรโดยประยุกต์ใช้แนวทาง IoT เป็นเรื่องยุ่งยาก ทว่า ที่ผ่านมา มีนวัตกรรมหลากหลายที่เกิดขึ้นในโลกเกษตรกรรม จากการปรับใช้ IoT อย่างถูกทาง ซึ่ง บทความของ ฐิติพงษ์ ได้หยิบยกนวัตกรรม Aquaponics ที่เชื่อมต่อกับแนวทาง IoT ช่วยเพิ่มมูลค่าให้การเลี้ยงปลาเชิงการค้านั้นง่ายขึ้น มาอธิบายเพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ IoT ไว้ดังนี้

ผู้ที่ชอบเลี้ยงปลาสวยงาม มักจะคุ้นเคยกับการปลูกพืชน้ำต่างๆ ในระบบบ่อกรอง บ่อบำบัด แต่มาระยะหลังๆ เริ่มมีการผสมผสานเทคโนโลยีในรูปแบบเดียวกับแนวทางและหลักการของระบบการปลูกพืชไร้ดิน ไฮโดรโปนิกส์ hydroponics โดยใช้ของเสียจากปลาที่ผสมอยู่ในน้ำ มาหมุนเวียนใช้ร่วมกับจุลินทรีย์ต่างๆ เพื่อเปลี่ยนของเสียให้เป็นธาตุอาหารที่พืชน้ำต้องการ นับเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับการปลูกผักในระบบใหญ่กับบ่อเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ ในรูปแบบเชิงการค้า    

เมื่อได้เทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้ว ก็ได้เวลามาเชื่อมต่อกับหลักการของ IoT ในการจัดการการปลูกพืชน้ำโดยใช้เทคนิค Aquaponics (อควาโปนิกส์) ผ่านคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟน โดยเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง แบบ LAN และ WIFI เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งานและการเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องสั่งการ

โดยในการเชื่อมต่อนั้นจะทำผ่านระบบ IoT Could: Cayenne IoT ReadyTM ซึ่งเป็น Server ให้บริการจัดเก็บข้อมูล รวมถึงการดูแลและการสั่งการต่างๆ ภายในระบบอีกที ทั้งนี้ในการทำงานส่วนใหญ่จะมีศูนย์ควบคุมหลัก คือ Raspberry Pi เป็นบอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถเชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์ คีย์บอร์ด และเมาส์ได้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำโครงงานทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ การเขียนโปรแกรม หรือเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน Spreadsheet Word Processing ท่องอินเทอร์เน็ต ส่งอีเมล หรือเล่นเกมส์ โดยติดตั้งบน SD Card บอร์ด Raspberry Pi ที่ถูกออกแบบมาให้มี CPU GPU และ RAM อยู่ภายในชิปเดียวกัน สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งงานให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำงานได้ เช่น สั่งงานให้ Relay ทำงานตามเวลาที่กำหนด หรือ สั่ง ปิด-เปิด ปั้มน้ำ ตามเวลาที่ต้องการ เป็นต้น

ทั้งนี้ระบบ IoT Could: Cayenne Iot ReadyTM สามารถสร้างเงื่อนไข ให้การทำงานได้ พร้อมกับการแจ้งเตือนผ่านที่ SMS และ e-Mail ได้อีกด้วย เช่น การตั้งเวลาควบคุมการทำงาน โดยกำหนดให้ เวลา 06.00 น. สั่งการให้ปั๊มทำงานเพื่อรดน้ำแปลงผัก เมื่อถึงเวลา 06.20 น. สั่งการให้ ปั๊มน้ำหยุดทำงาน และกำหนดให้ส่งข้อความแจ้งเตือนว่าได้ปั้มน้ำเรียบร้อยแล้วผ่านทาง SMS และ e-Mail

นอกจากนั้น IoT Could: Cayenne IoT ReadyTM สามารถเก็บค่าการทำงานต่างๆ ของอุปกรณ์ และนำมาทำเป็นกราฟเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง หรือดูความผิดปกติในการทำงาน เช่น การสังเกตความชื้นของดินถ้าหากความชื้นต่ำ เราสามารถสร้างเงื่อนไขการทำงานได้โดยการสั่งการให้ปั๊มทำงาน เมื่อดินมีความชื้นต่ำ ตามระดับที่เรากำหนดไว้ ได้ด้วย

 

ที่มา: https://www.salika.co/2018/05/16/iot-smart-agriculture/

Faarm Series

1. FAARM SENSE ชุดเทคโนโลยีสำหรับติดตามเกษตรอัจฉริยะ (Monitor)

ABIENT SENSE

1.1 AMBIENT SENSE ระบบตรวจวัดสภาพแวดล้อมสำหรับการปลูกเลี้ยง

แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ

    • รุ่น AquaLife เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นระบบตรวจวัดสำหรับเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในธรรมชาติ หรือ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สามารถต่อเซ็นเซอร์ได้หลายชนิด เช่น DO EC pH อุณหภูมิฯ เป็นต้น
    • รุ่น Greenhouse เพื่อการเพาะปลูก เป็นระบบตรวจวัดสภาพแวดล้อมสำหรับใช้ในโรงเรือน สามารถต่อเซ็นเซอร์ได้หลายชนิด เช่น อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ความเข้มแสง ฯ เป็นต้น ทั้งนี้สามารถขยายจำนวนเซ็นเซอร์ บันทึกและเข้าถึงข้อมูลการตรวจวัดผ่านอินเทอร์เน็ต ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

โดยทั้งสองรุ่นสามารถขยายจำนวนเซ็นเซอร์ บันทึกและเข้าถึงข้อมูลการตรวจวัดผ่านอินเทอร์เน็ต ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

WEATHER SENSE

1.2 WEATHER SENSE สถานีวัดอากาศสำหรับติดตามการเพาะปลูก

แบ่งออกเป็น 2 รุ่น

    • รุ่น Standard สามารถตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้นสัมพันธ์ในอากาศ ปริมาณน้ำฝน และอื่น ๆ
    • รุ่น Watchdog ที่มีการเพิ่มความสามารถให้กับสถานีวัดอากาศให้สามารถเฝ้าระวังและเตือนภัย เช่น น้ำป่าไหลหลาก โดย Watchdog จะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้

2. FAARM FiT ชุดเทคโนโลยีสำหรับควบคุมงานทางด้านเกษตรอัจฉริยะ (Control)

ชุดเทคโนโลยีสำหรับควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้แก่

BUBBLE FiT

2.1 BUBBLE FiT ระบบควบคุมและเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมสำหรับการเลี้ยงสัตว์น้ำ รุ่น Oxy

ระบบควบคุมการเติมอากาศสำหรับการเลี้ยงสัตว์น้ำ มีจุดเด่นคือ สามารถวัดค่าออกซิเจนละลายตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยป้องกันออกซิเจนต่ำจากเหตุไม่คาดคิด ช่วยประหยัดพลังงานด้วยการเปิดปิดเครื่องตีน้ำตามค่าออกซิเจนละลาย เลือกเปิดเครื่องตีน้ำให้มีชั่วโมงการทำงานสมดุลกัน สามารถกำหนดรูปแบบพิเศษในการเปิดปิดเครื่องตีน้ำได้ เช่น การรวมตะกอน การควบคุมการหมุนเวียนของน้ำ นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติไปยังผู้ใช้ได้อีกด้วย

GROW FiT

2.2 GROW FiT ระบบควบคุมการปลูกเลี้ยง

เป็นระบบที่บูรณาการร่วมกับระบบปรับสภาพและระบบควบคุมปัจจัยการผลิต โดยมีผลิตภัณฑ์ Happy Shrimp ที่สามารถตรวจวัดคุณภาพน้ำ ควบคุมการเติมอากาศ และการให้อาหารสำหรับการเลี้ยงกุ้ง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เนคเทคเตรียมที่จะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้

ชุดเทคโนโลยีสำหรับควบคุมการเพาะปลูก

AMBIENT FiT

2.3 AMBIENT FiT ระบบปรับและควบคุมบรรยากาศสำหรับการปลูกเลี้ยง

แบ่งเป็น 2 รุ่นตามลักษณะการควบคุมสภาพแวดล้อม ดังนี้

  • รุ่น Cool สำหรับควบคุมระบบลดอุณหภูมิหรือปรับความชื้นในโรงเรือนให้อยู่ในช่วงที่ต้องการ ด้วยการพ่นหมอก หรือใช้แผ่นระเหยน้ำ จุดเด่นคือ สามารถต่อเซ็นเซอร์ได้หลายประเภทและหลายจุด เช่น อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ความเข้มแสง
  • รุ่น Comfort สำหรับควบคุมระบบปรับสภาพแวดล้อมในโรงเรือนปิดหรือห้องควบคุมบรรยากาศ สามารถควบคุมทั้งอุณหภูมิ ความชื้นและระดับก๊าซ เช่น CO2 เป็นต้น

โดยทั้งสองรุ่นสามารถบันทึกและเข้าถึงข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

water FiT

2.4 WATER FiT ระบบให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก

แบ่งเป็น 2 รุ่น ได้แก่

    • รุ่น Simple กล่องควบคุมการให้น้ำพื้นฐาน มีจุดเด่นคือ ใช้แบตเตอรี่ 9 โวลต์ อายุการใช้งานมากกว่า 1 ปี ต่อควบคุมวาล์วได้สูงสุด 4 ตัว แยกอิสระต่อกัน สามารถต่อเซ็นเซอร์วัดความชื้นดิน และถังวัดน้ำฝน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้น้ำ เช่น ฝนตกเพียงพอ งดให้น้ำ หรือหากดินเปียก รดน้ำน้อย ตั้งช่วงเวลาให้น้ำด้วยการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ Android Smart Phone ผ่าน Bluetooth สามารถตั้งช่วงเวลาให้น้ำได้มากกว่า 100 ช่วงเวลา และที่สำคัญติดตั้งง่าย เพียงแค่นำกล่องไปติดตั้งคู่กับระบบเดิมได้ทันที
    • รุ่น Evergreen เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะพร้อมใช้ในอนาคตอันใกล้ โดยสามารถควบคุมการให้น้ำแยกส่วนได้หลายตำแหน่ง ตามลักษณะเฉพาะของพืชแต่ละชนิด สามารถทำงานร่วมกับระบบควบคุมในพื้นที่และระบบผู้เชี่ยวชาญในอินเตอร์เน็ต เช่น การให้น้ำพืชตามอัตราการคายระเหย

ENERGY FiT

2.5 ENERGY FiT ระบบบริหารจัดการและเก็บเกี่ยวพลังงานเพื่อใช้ในฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ

มีผลิตภัณฑ์ SUNFLOW อินเวอร์เตอร์ ใช้สำหรับสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ จึงไม่เสียค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ใช้อัลกอริทึ่มการหาจุดที่มีพลังงานสูงสุด (Advanced MPPT) จึงทำให้ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดในทุกความเข้มแสง ใช้แผงโซล่าเซลล์จำนวน 2 - 10 แผง (ขึ้นกับขนาดมอเตอร์ปั๊มน้ำ) ช่วยประหยัดและลดต้นทุนในการใช้พลังงาน ปรับตั้งกระแสต่ำสุดเพื่อป้องกันมอเตอร์และปั๊มน้ำเสียหายขณะไม่มีน้ำ พร้อมทั้งระบบป้องกันความเสียหายจากฟ้าผ่า และยังสามารถกันฝุ่นกันน้ำตามมาตรฐาน IP55 ได้อีกด้วย

ในอนาคตเนคเทคมีความมุ่งหวังที่จะนำข้อมูลทางด้านการเกษตร จากผลงานวิจัยและพัฒนาที่ผ่านมานำมาใช้ใน FAARM Alice เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลด้านการปลูกเลี้ยง เพื่อหาพื้นที่เหมาะสมในการปลูกพืช การทำนายฝนล่วงหน้า หาปริมาณการให้น้ำและสารอาหารที่เหมาะสม ติดตามการเจริญเติบโตของพืช และการวางแผนการปลูก ที่จะช่วยเพื่อเพิ่มคุณภาพและปริมาณผลผลิตและให้ข้อมูลการขายเพื่อเพิ่มผลประกอบการสำหรับเกษตรกรชาวไทย

Cinque Terre

 FAARM AlicE : Analytics Engines

เนคเทคพร้อมสนับสนุนเกษตรกรไทยด้วยงานวิจัยพร้อมใช้ที่หลากหลาย ภายใต้ NECTEC FAARM series ฟาร์มเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมด้านการเกษตร ที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการด้านการเกษตรสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานบริบทของตนเองได้ ทั้งนี้เสียงสะท้อนที่ได้รับจากผู้ใช้งาน เนคเทคจะนำมาปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นโอกาสดีที่จะเกิดเป็นโจทย์วิจัยใหม่ๆ และเกิดเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมโดยนักวิจัยไทย เพื่อเกษตรกรและผู้ประกอบการด้านการเกษตรในยุค Thailand 4.0

ที่มา: https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/nectecfaarmseries.html

FAARM Series: Water FiT

WATER FiT คือ ระบบให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก แบ่งเป็น 2 รุ่นตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่ Simple และ Evergreen

WATER FiT – Simple

กล่องควบคุมการให้น้ำพื้นฐาน ให้น้ำตามเวลา ความชื้น ทำงานอิสระ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่

คุณสมบัติ

· ใช้แบตเตอรี่ 9 โวลต์ อายุการใช้งานมากกว่า 1 ปี

· ต่อควบคุมวาล์วได้สูงสุด 4 ตัว แยกอิสระต่อกัน

· สามารถต่อเซ็นเซอร์วัดความชื้นดิน และถังวัดน้ำฝน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้น้ำ (ฝนตกพอ งดให้น้ำ, ดินเปียก รดน้ำน้อย)

· เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ Android Smart Phone ผ่าน Bluetooth เพื่อตั้งช่วงเวลาให้น้ำ

· ช่วงเวลาการให้น้ำสามารถเลือกทำงานเป็น ทุกวัน วันในสัปดาห์ วันเว้นวันได้

· สามารถตั้งช่วงเวลาให้น้ำได้มากกว่า 100 ช่วงเวลา

WATER FiT - Evergreen

ระบบควบคุมการให้น้ำแบบแยกส่วนหลายตำแหน่ง ที่มีการทำงานสัมพันธ์ระหว่างตัวควบคุมในพื้นที่และระบบผู้เชี่ยวชาญในอินเทอร์เน็ต เช่น การให้น้ำพืชตามอัตราการคายระเหย

คุณสมบัติ

· ระบบสั่งการควบคุมการให้น้ำแยกอิสระกับอุปกรณ์ควบคุมวาวล์และอุปกรณ์ควบคุมปั๊มผ่านทาง ระบบสื่อสารแบบไร้สายทำให้ง่ายกับการออกแบบติดตั้งระบบให้น้ำ

· สามารถทำงานร่วมกับระบบผู้เชียวชาญในอินเทอร์เน็ตเช่นการให้น้ำพืชตามอัตราการคายระเหย

· ระบบมีความหยืดหยุ่น สามารถใช้งานได้ทั้งในแปลงเกษตรขนาดเล็กจนถึงแปลงเกษตรขนาดใหญ่

· บันทึกข้อมูลการตรวจวัดผ่านอินเทอร์เน็ต

· ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลการให้น้ำและข้อมูลการตรวจวัดผ่านอินเทอร์เน็ต ได้ทั้งเว็บเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันบนแอนดรอยด์สมาร์ทโฟน

 

· ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดไปวิเคราะห์ปรับปรุงการควบคุมการให้น้ำในรอบถัดไปให้สภาพแวดล้อมในโรงเรือนมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น

FAARM SENSE

สถานีวัดอากาศสำหรับติดตามการเพาะปลูก (WEATHER SENSE)

โดยคุณดุสิตา ธรรมสถิตพรได้กล่าวไว้ว่าจะนำจะใช้งานรุ่น Standard สามารถตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้นสัมพันธ์ในอากาศ ปริมาณน้ำฝน ความชื้นของดินและอื่น ๆ ซึ่งยังอยู่ในช่วงดิว

FAARM FIT

แบ่งเป็น 2 รุ่นตามลักษณะการควบคุมสภาพแวดล้อม ดังนี้

· รุ่น Cool สำหรับควบคุมระบบลดอุณหภูมิหรือปรับความชื้นในโรงเรือนให้อยู่ในช่วงที่ต้องการ ด้วยการพ่นหมอก หรือใช้แผ่นระเหยน้ำ จุดเด่นคือ สามารถต่อเซ็นเซอร์ได้หลายประเภทและหลายจุด เช่น อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ความเข้มแสง

· รุ่น Comfort สำหรับควบคุมระบบปรับสภาพแวดล้อมในโรงเรือนปิดหรือห้องควบคุมบรรยากาศ สามารถควบคุมทั้งอุณหภูมิ ความชื้นและระดับก๊าซ เช่น CO2 เป็นต้น

 

ที่มา: http://smartfarmspu2560.blogspot.com/2017/11/

ประเทศไทยเองก็ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต รวมถึงการทำงานในแต่ละภาคส่วนที่สำคัญ แต่ทว่า “ภาคเกษตร” ของไทยนั้น อาจจะเป็นเพียงก้าวแรกที่เริ่มต้นรับเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตแต่เดิมภาคเกษตรไทยประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน อีกทั้งเกษตรกรส่วนใหญ่ถือได้ว่าเป็นผู้สูงวัยจึงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงความรู้และการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะมีผลช่วยให้ภาคการเกษตรพัฒนามากขึ้น แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตได้เข้าถึงและกระจายในทุกพื้นที่ทั่วไทยมากขึ้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือก้าวสำคัญของเกษตรกรไทยที่จะเข้าถึงระบบ Digital Farm

Digital Farm” คือ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยของเหล่าเกษตรกร ทั้งในแง่ให้ความรู้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการเพาะปลูก การพัฒนาปัจจัยการผลิตเพื่อเพิ่มผลิตผลและคุณภาพ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศที่คอยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล

ในปัจจุบันสมาร์ตโฟนก็เป็นเครื่องมือที่ทำให้ชาวเกษตรกรไทยสามารถเข้าใกล้Digital Farm ได้มากขึ้น ซึ่งช่วยยกระดับการทำเกษตรที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์และเหมาะสมกับการทำเกษตรของตนเอง โดยสิ่งเหล่านี้ช่วยพัฒนาวงการเกษตรได้มากมายหลายส่วน ได้แก่

  1. การเก็บข้อมูล: ใช้ในการระบุสภาพพื้นที่เพาะปลูก ชนิดพืช สถานะการเจริญเติบโตและปัญหาต่าง ๆ
  2. การเข้าถึงข้อมูล: เข้าถึงสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ในปัจจุบันและอดีต ในทุกพื้นที่ เพื่อทำความเข้าใจในปัญหาและการดูแลผลผลิต
  3. การควบคุมดูแล ผ่าน Internet of Things (IoT): เชื่อมโยงการทำงานของเครื่องวัดและอุปกรณ์ทำการเกษตรต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟน เพื่อสั่งงานการทำกิจกรรมการเกษตรตามเวลาและปริมาณที่กำหนดได้อย่างแม่นยำ
  4. การเข้าถึงการตลาด: ปัจจุบันมีตลาดออนไลน์ขนาดใหญ่มากมายในการค้าขาย ซึ่งทำให้เหล่าเกษตรกรขายผลผลิตได้เองโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง 

ปัจจุบัน Digital Farm เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นจากการแพร่หลายของอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟนทำให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงโลกดิจิทัลได้มากขึ้น แต่ที่ไม่อาจมองข้ามได้คือการกระจายความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตรเข้าสู่ชุมชนเพื่อให้เหล่าเกษตรกรไทยได้เห็นภาพ Digital Farm เป็นแบบรูปธรรม ซึ่ง CAT เป็นส่วนหนึ่งที่ได้เริ่มต้นกระจายความรู้เหล่านั้นผ่านโครงการ “CAT เพาะพันธุ์ดี” ด้วยการทำ Digital Farm ผ่านแปลงเกษตรตัวอย่างไปยังโรงเรียนทั้ง 7 แห่งทั่วประเทศ 

ถือได้ว่า Digital Farm ในประเทศไทยกำลังเริ่มต้นไปได้ด้วยดี เชื่อได้ว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญที่จะยกศักยภาพการเกษตรของไทยให้ก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ ทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพของผลผลิต รวมถึงรายได้ที่จะเข้ามาพัฒนาความเป็นอยู่ของเหล่าเกษตรกรให้อยู่ได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน

Digital Farmer หรือ เกษตรกรอัจฉริยะยุคใหม่ คือกลุ่มของเกษตรกรที่ปรับตัวและเรียนรู้ พร้อมนำเทคโนโลยี IoT ที่มีความแม่นยำสูงเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต รวมถึงประหยัดเวลาในทุก ๆ เรื่อง เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกของเกษตรกรยุคไอที

ประโยชน์ของ IoT หรือ Internet of Thing ตัวช่วยสำคัญของเหล่า Digital Farmer

ทุกวันนี้ IoTถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตรเพื่อใช้ในการจัดการฟาร์มให้มีประสิทธิภาพและใช้แรงงานคนให้น้อยที่สุด โดยได้นำเทคโนโลยี RFID Sensors (Radio Frequency Identification Sensors) เข้ามาใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการเกษตร เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้นสามารถส่งต่อสัญญาณกับอุปกรณ์ควบคุมหลักได้ เช่น การใช้เซ็นเซอร์วัดข้อมูลต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์เหล่านี้สามารถนำมาวางเป็นระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless Sensor Network) อีกทั้งสามารถนำไปติดตั้งหรือปล่อยในพื้นที่ทำการเกษตร เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ได้อาทิเช่น

  • ควบคุมการรดน้ำ ช่วยคำนวณปริมาณน้ำและเวลาในการรดน้ำที่เหมาะสมช่วยทุ่นแรงและลดการสิ้นเปลืองได้
  • ควบคุมโรคและศัตรูพืช เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรคศัตรูพืช ฉีดยาฆ่าแมลงหรือศัตรูพืชเมื่อเวลาที่จำเป็นเท่านั้น
  • ติดตามสภาพดิน เป็นการนำเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรมาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพดิน ความชื้น แร่ธาตุ ทำให้ทราบว่าควรปลูกพืชชนิดใด และควรปรับปรุงดินอย่างไรให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชชนิดนั้น ช่วยลดการสูญเสียอย่างสิ้นเ
  • จัดเก็บฐานข้อมูลการเพาะปลูก เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตและควบคุมต้นทุนการผลิตได้ รวมไปถึงช่วยในการวางแผนการผลิตเพื่อให้เป็นไปตามกลไกของตลาด
  • ฟาร์มแม่นยำ เป็นการนำเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรมาใช้ในการพยากรณ์อากาศแบบเจาะจงพื้นที่ ตรวจสภาพพืชในพื้นที่เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์

เรียกได้ว่า IoT และเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นตัวช่วยสำคัญของ “Digital Farmer” ที่ช่วยให้การบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายขึ้น อีกทั้งในระยะยาวถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรยุคไอทีเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยลดทั้งแรงงานและต้นทุนอื่น ๆ แล้ว ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาฟาร์มในอนาคตได้อีกด้วย ถือว่าเป็นการยกระดับเกษตรกรไทยให้ก้าวไกลไปพร้อม ๆ กับนวัตกรรมโลกได้เป็นอย่างดี

Digital Farmer และ Internet of Things (IoT) เป็นคำศัพท์ที่เริ่มได้ยินมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปข้างหน้า อย่าง IoT ผนวกรวมกับความรู้ความสามารถของเกษตรกรไทย จึงทำให้ Digital Farmerกลายเป็นจริงอย่างจับต้องได้ในยุคปัจจุบัน

IoT คือ เทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ กับสมาร์ตโฟน และโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เมื่อมีทั้ง 3 อย่างครบก็จะช่วยให้การทำงานในชีวิตประจำวันง่ายขึ้น ปัจจุบัน IoT นั้นเข้าไปอยู่ในบ้านของใครหลายคนแล้ว โดยที่คุณอาจจะไม่รู้มาก่อนว่าสิ่งเหล่านั้นคือ IoT ยกตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศที่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ กรณีที่คุณขับรถกลับบ้านมาเหนื่อย ๆ อยากกลับไปเจอห้องที่เย็นสบาย คุณก็สามารถสั่งการผ่านสมาร์ตโฟน ของคุณได้เลยนั่นเอง

หลายคนเริ่มเข้าใจวิธีการทำงานของ IoT กันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วย

เกษตรกรไทยได้อย่างไรกัน?

อยากให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Digital Farm กันก่อน Digital Farmหรือเรียกกันอีกอย่างว่าSmart Farm : “เกษตรอัจฉริยะ” นั้นคือการทำการเกษตรที่นำเทคโนโลยีอย่าง IoT เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการเกษตรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การทำไร่ ทำนา หรือทำสวน ซึ่งช่วยให้ใช้แรงงานคนน้อยลง ประหยัดเวลามากขึ้น ช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไรให้มากขึ้น เพราะคุณสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติและรับรู้ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้สามารถรับมือกับทุกปัญหาได้ เทคโนโลยีของ IoT จะเข้ามาทำหน้าที่ในหลากหลายส่วนตั้งแต่เริ่มวางแผนเพาะปลูกเลยทีเดียว โดยจะเริ่มต้นจากการวิเคราะห์และวางแผนการเพาะปลูกอย่างถูกต้องเหมาะสมในพื้นที่ของตัวเองด้วยการนำข้อมูลของภูมิอากาศและภูมิประเทศทั้งในระดับพื้นที่ย่อย (Microclimate), ระดับไร่ (Mesoclimate) และระดับมหภาค (Macroclimate) อย่างเช่น อุณหภูมิ, ความชื้นในดินและอากาศ, สภาพแสง, ลม, ปริมาณน้ำฝน ฯลฯ จากดาวเทียมมาวางแผนในการบริหารจัดการ อย่างการให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้ยา และเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้ากับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต อย่างที่บอกในข้างต้น IoT ยังช่วยในการสั่งการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆได้ ดังนั้นการเริ่มต้นเป็น Digital Farmer อาจเริ่มต้นจากส่วนที่มีอยู่ได้ดังนี้

  • ติดตามสภาพดิน: ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพดิน ความชื้น แร่ธาตุ เพื่อวิเคราะห์ว่า พื้นที่ของเกษตรกรนั้นควรปลูกพืชชนิดใด และควรปรับปรุงดินอย่างไรให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชชนิดนั้นๆ
  • ควบคุมการรดน้ำ และควบคุมโรค, ศัตรูพืช: นำอุปกรณ์มาติดตั้งเพื่อควบคุมการรดน้ำ เพื่อช่วยคำนวณปริมาณน้ำ ยาฆ่าแมลง และเวลาในการใช้ที่เหมาะสม เพื่อลดแรงงานและปริมาณที่สิ้นเปลือง
  • จัดเก็บฐานข้อมูล: จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดที่ทำบนพื้นที่ของเรา เพื่อนำไปพัฒนาการเกษตร ปรับปรุงคุณภาพผลผลิตและควบคุมต้นทุนการผลิต

จากภาพรวมทั้งหมดจะเห็นภาพ IoT ที่เป็นตัวช่วยให้เหล่าเกษตรกรกลายเป็น Digital Farmerได้จากการทำงานอย่างแม่นยำขึ้น ด้วยข้อมูลทางการเกษตรจากดาวเทียม ระบบการจัดการดูแลผลผลิต ส่งผลให้การบริหารจัดการทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญยังช่วยลดต้นทุนในการผลิตไปอย่างมาก 

ถึงแม้ว่าในช่วงแรกของการเป็น Digital Farmer จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและการลงทุนมากขึ้น แต่เมื่อลองเปรียบเทียบถึงผลประโยชน์ในระยะยาวแล้วถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะไม่เพียงจะช่วยลดต้นทุนทั้งในแง่แรงงานและสิ่งบำรุงในการดูแลผลผลิตแล้ว ยังเป็นช่วยเก็บข้อมูลที่คุณสามารถนำไปต่อยอดเพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพ และยกระดับการเกษตรในพื้นที่ตนเองได้อีกด้วย

KAS ตัวเอกด้าน Smart Farming

ด้วยการมาของประชาคมอาเซียน (AEC) ทำให้เกษตรกรไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ในการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในขั้นตอนการเพาะปลูกต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต ซึ่งผลที่ตามมาคือเกษตรกรไทยได้รับผลผลิตน้อยและไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร 

ด้วยเหตุนี้ทาง บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น ฯ จึงเกิดแนวคิดที่จะพัฒนาประสิทธิภาพเกษตรกรรมของไทย และแก้ปัญหาด้วยการสร้างองค์ความรู้ที่ ครอบคลุม ทั้งระบบเกษตรเพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้น จึงพัฒนาแนวทางการเกษตรครบวงจรที่เรียกว่า KUBOTA Agri Solution หรือ KAS ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและองค์ความรู้ จากคำบอกเล่าของ สมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส 

Smart Farming สมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด

“เครื่องจักรกลการเกษตรเป็นสินค้าราคาแพง การจัดหามาใช้ย่อมเป็นเรื่องยากลำบาก จึงเริ่มมองว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าของเราสามารถใช้เครื่องจักรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงพยายามหาตัวช่วยที่จะมาส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าการให้ความรู้จะเป็นแนวทางหนึ่ง จึงเกิดเป็น KAS ขึ้น”

ในวันนี้ KAS จึงถือเป็นผู้รับบทนำในการส่งเสริมด้าน Smart Farming ของบริษัทในปัจจุบัน ด้วยการใช้เทคนิคการเพาะปลูกผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีระบบจัดการพื้นที่เกษตรหรือฟาร์มที่ช่วยในการวางแผน ปฏิบัติการ ตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขในการทำการเกษตร รวมถึงการใช้ Drone ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ทดแทนแรงงานคน 

ที่สำคัญคือการใช้เทคโนโลยี loT (Internet of things) และ Robot มาช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแม่นยำมากขึ้น เพื่อช่วยเกษตรกรในการลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพ ผลผลิตและรายได้ ตลอดจนยกระดับและสร้างมาตรฐานเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก และช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับเกษตรกรรวมไปถึงสิ่งแวดล้อม

ไม่เพียงเท่านั้นจาก pain point ของเกษตรกรที่ต้องเผชิญในปัจจุบันมีสามข้อใหญ่ หนึ่งคือภัยธรรมชาติ ทั้งภาวะฝนแล้งและน้ำท่วม สองคือเรื่องราคาพืชผลที่ขึ้นกับกลไกลตลาด สามคือ การส่งเสริมที่ตรงจุด ที่จะมีส่วนแก้ไขปัญหาและข้อเรียกร้องต่าง ๆ ได้ ซึ่งด้วยนวัตกรรมด้านข้อมูลและ IoT ที่สามารถพยากรณ์เรื่องอากาศและน้ำได้ล่วงหน้า จะช่วยลดควาเสี่ยง จากภัยธรรมชาติได้

อีกหนึ่งเครื่องจักรกลการเกษตรนวัตกรรมใหม่ คือ Drone เพื่อการเกษตรเช่น บำรุงรักษาแปลงนา ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลดการใช้เเรงงานคน ทำงานได้รวดเร็ว สามารถควบคุมการฉีดพ่นได้สม่ำเสมอ ไม่เกิดการเหยียบต้นพืช ปลอดภัยต่อสุขภาพ และสามารถใช้กับสารที่เหมาะกับการใช้กับพืชที่ปลูกในประเทศไทยด้วย ซึ่งคาดว่าจะวางจำหน่ายในปีนี้ 

ส่วนตัวอย่างเด่นของนวัตกรรมการเกษตรครบวงจร คือ KAS Crop Calendar application ที่ให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงปฏิทินการเพาะปลูก (Crop Calendar) ซึ่งเป็นองค์ความรู้ด้านการปลูกข่าวที่ถ่ายทอดมาจากเกษตรกรจากจังหวัด Niigata ประเทศญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างแม่นยำและมีแบบแผน ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรโหลด App ไปใช้งานแล้วกว่า 500 ราย

โดยมีฟังก์ชั่นหลัก ได้แก่ 1) “แจ้งเตือนการเพาะปลูก” ในทุก ๆ ขั้นตอนการเกษตร ตั้งแต่การเตรียมดิน การเพาะปลูก การบำรุงรักษา การเก็บเกี่ยวผลผลิต ตลอดจนการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวนอกจากนั้นยังสามารถปรับขั้นตอนให้เหมาะสมกับพื้นที่หรือเทคนิคส่วนตัวได้ 2) “บัญชีรายรับ-รายจ่าย” ช่วยจดบันทึกทุกการใช้เงิน นำมาวิเคราะห์ เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและบริการการใช้เงินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3) “รายงานสรุป” รายงานสรุปผลภาพรวมของการเพาะปลูกตั้งแต่วันแรกของการปลูกจนถึงวันเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ยังสรุปรายรับ-รายจ่ายและผลผลิตที่ได้ เพื่อนำไปเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกครั้งต่อไป

“ผมมองว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจหลักการเพาะปลูกข้าว ผ่านการเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่เราใช้ระบบที่ช่วยควบคุมให้แม่นยำขึ้น จึงไม่ขัดกับภูมิความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะยากขึ้นตรงต้องเก็บข้อมูล ต้องดำเนินการตามปฏิทิน และมาตรฐานต่าง ๆ” 

Smart Farming

KUBOTA Farm โชว์นวัตกรรม

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะพัฒนา KAS เพื่อมาตอบโจทย์และแก้ pain point ให้แก่เกษตรกรแล้ว แต่เพื่อให้สามารถเข้าถึงนวัตกรรมได้อย่างถ่องแท้ จึงริเริ่มทำ  KUBOTA Farm ขึ้นเมื่อปี 2561 บนพื้นที่ 220 ไร่ ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี

KUBOTA Farm คือฟาร์มสร้างประสบการณ์จริงในการเพาะปลูกพืชด้วยวิธีการเกษตรสมัยใหม่ ให้ความรู้และเน้นการปฏิบัติจริงในการทำการเกษตรเต็มรูปแบบแห่งแรกในอาเซียน ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด End to End Solutions ซึ่งออกแบบและติดตั้งระบบจัดการฟาร์มด้วย IoT มาใช้ในระบบบริหารจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ 

ทั้งนี้ภายใน KUBOTA Farm แบ่งเป็นโซนต่าง ๆ ได้แก่

1.    โซนให้คำปรึกษาเกษตรครบวงจร  

2.    โซนเกษตรแม่นยำข้าวและพืชหลังนาที่มีการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำเกษตรมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งมุ่งนำเสนอ 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1. Zero Broadcast (โครงการปลอดนาหว่าน) ที่ส่งเสริม 3 วิธีด้วยกัน คือ การปักดำ การหยอดน้ำตม และ การหยอดข้าวแห้ง 2. KAS Crop Calendar 3. Zero Burn (โครงการเกษตรปลอดการเผา) โดยแนะนำวิธีการและนวัตกรรมเกษตรต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการลดการเผาหลังจากเก็บเกี่ยว 4. การปลูกพืชหลังนาเพิ่มรายได้ ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชหลังนา เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง หรือ ถั่วเขียว  5. การใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิตในข้าว ด้วยเครื่องจักรกลอัจฉริยะอย่าง KUBOTA Intelligent Solutions (KIS) ซึ่งคือ ระบบ GPS Telematics ซึ่งช่วยให้สามารถระบุพิกัดของเครื่องจักรกลคูโบต้าและสามารถดึงข้อมูลรายงานออกมาให้เกษตรกรพัฒนาประสิทธิภาพการทำเกษตรได้ รวมทั้งยังมีการสาธิตการใช้งาน Drone เพื่อการเกษตร ระบบควบคุมทิศทางอัตโนมัติ ตลอดจนสถานีวัดสภาพอากาศ ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันบริหารเครื่องจักรกลอย่างมีประสิทธิภาพ

3.    โซนเกษตรสมัยใหม่พืชไร่ แสดงรูปแบบการเพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพดด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรครบวงจรในทุกขั้นตอนการเพาะปลูก เทคนิคการลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร ด้วย KAS แนะแนวทางการจัดการน้ำ เทคนิคการปลูกอ้อยน้ำน้อย  การปรับระดับดินตามแนวความลาดชันด้วยเลเซอร์ ตลอดจนแนะนำวิธีการและนวัตกรรมเกษตรต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการลดการเผาหลังจากเก็บเกี่ยว (Zero Burn)

4.    โซนเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่น้อมนำแนวพระราชดำริในการบริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรและนำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนารูปแบบการเกษตรสมัยใหม่ เช่น ระบบน้ำสั่งการด้วย Smart Device เทคโนโลยีวัดความหวานเพื่อเพิ่มมูลค่า เทคโนโลยีเครื่องปลูกผักกึ่งอัตโนมัติ เทคโนโลยีเตรียมแปลงปลูกผัก เทคโนโลยีเพาะกล้าผัก และการปลูกพืชในโรงเรือน  มุ่งเน้นการบริหารจัดการให้สร้างรายได้เป็นแบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน เป็นต้น 

5.    โซนก่อสร้าง นำเสนอโซลูชั่นเครื่องจักรกลสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการเกษตรแบบมืออาชีพ การขุดบ่อน้ำขนาดเล็ก เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อประสบปัญหาน้ำท่วม หรือภัยแล้ง 

6.    โซนวิจัยเกษตรโซนปาล์มน้ำมัน ยางพารา และผลไม้ นำเสนอรูปแบบการเพาะปลูกเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตร KUBOTA และการสร้างรายได้จากการปลูกพืชเสริมในร่องหรือแถวระหว่างต้น

7.    โซนวิจัยเกษตรครบวงจร วิจัยและพัฒนาโซลูชั่นเกษตรครบวงจรด้วยนวัตกรรมเกษตร รวมถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพดิน ร่วมกับกรมพัฒนาที่ดิน 

8.    โซนอบรมเกษตรครบวงจร พื้นที่ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรครบวงจรให้กับเกษตรกรและผู้สนใจเพื่อให้เกิดทักษะและนำกลับไปใช้พัฒนาในพื้นที่ของตนเองได้

9.    โซนสร้างประสบการณ์เทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตร KUBOTA พื้นที่สำหรับทดลองใช้และเลือกเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรคูโบต้าที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกของเกษตรกร

“เกษตรกรทุกคนต่างต้องการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทั้งนั้น ผมมักเจอคำถามต่าง ๆ เสมอว่า ต้องทำอย่างไร ใครจะมาสอน หรือทำแล้วใครจะมาซื้อพืชผล ซึ่งด้วยตัว KUBOTA Farm จะช่วยให้เกษตรกรได้ทดลองใช้และเห็นภาพ จึงขึ้นกับว่าเราได้แนะนำเพียงพอหรือทำให้ช่วยเห็นภาพชัดเจนหรือไม่” 

นอกจากนี้ทาง KUBOTA ยังมีแนวทางส่งเสริมเกษตรกรให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำผ่านโครงการชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า ซึ่งทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรที่เข้มแข็ง  เพื่อร่วมคิดและลงมือแก้ปัญหา ผ่านกระบวนการเรียนรู้และโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือต้องการทำให้เกษตรกรในชุมชนมีความอยู่ดีกินดี สามารถพึ่งพาตนเองได้ ท้ายที่สุดสามารถพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบและขยายผลสู่ชุมชนอื่นต่อไป เป็นการสร้างคุณภาพชีวิตแบบยั่งยืน

โดยตอนนี้สนับสนุนไปแล้ว 5 แห่ง ที่ครอบคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-ผักไหม ต.ผักไหม อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-เกษตรทิพย์ ต.ดู่ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เป็นต้น

สำหรับบทบาทของ KUBOTA ที่มีต่อการส่งเสริมด้าน Smart Farming ซึ่งสมศักดิ์หยิบยกมาเป็นตัวอย่าง ได้แก่  การส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการลือกใช้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือส่งเสริมโครงการเกษตรสีเขียว (Green Agriculture) ที่เน้นเรื่องเกษตรปลอดการเผา ได้แก่ การไถกลบตอซังและการทำปุ๋ยอินทรีย์แบบไม่กลับกอง และการลดการใช้สารเคมีในทุก ๆ ขั้นตอนของเกษตรกรรม 

ในอีกแง่ยังเน้นให้สร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตที่ชุมชนมีอยู่แล้ว ได้แก่ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การจัดทำข้าวอินทรีย์บรรจุถุง เพื่อให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มจากการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ไม่เพียงเท่านั้นบริษัท ยังมีการพัฒนาต่อในแง่การตลาด เช่น การทำ e-Commerce ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นการรับซื้อข้าวหรือขายพืชผลการเกษตร แต่หาช่องทางจำหน่ายให้เกษตรกรได้มากขึ้น

“เป้าหมายระยะใกล้ คือต้องการเห็นเกษตรกรรายได้เพิ่มและมีความสุข เวลาที่เราเห็นทุกคนมีรอยยิ้มก็เป็นความภูมิใจของเรา” 

สำหรับคำแนะนำที่ฝากถึงเกษตรกรผู้ต้องการเป็น Smart Farmer แต่ขาดเงินทุนนั้น สมศักดิ์ย้ำว่าก้าวสำคัญคือต้องมีการรวมกลุ่มอย่างเข็มแข็งก่อน เพื่อให้สามารถแบ่งปันกันใช้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างคุ้มค่า เพราะเป็นทางออกที่ช่วยลดต้นทุนได้ดีกว่าการใช้แรงงานภาคการเกษตร รวมถึงค่อย ๆ ปรับสู่วิถีการเกษตรสมัยใหม่ เพราะ Smart Farming เป็นสิ่งที่ต้องค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วก็ได้  

  • โดรนเพื่อการเกษตร

ในยุคนี้ เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก โดรน (Drone) เพราะนวัตกรรมสุดล้ำนี้ได้เข้ามามีบทบาทในภาคการเกษตรมากมาย โดยเฉพาะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำ เกษตรแบบแม่นยำ ได้มากโข ไม่ว่าจะเป็นการรดน้ำ การพ่นยา การให้ปุ๋ย การถ่ายภาพวิเคราะห์เพื่อตรวจโรคพืช ซึ่งทำให้เกษตรกรประหยัดเวลาการทำงาน ประหยัดแรงงานทั้งยัง มีความปลอดภัยต่อผู้ฉีดมากกว่าการฉีดพ่นสารแบบดั้งเดิม หรือการใช้คนเดินฉีดด้วย

เพราะในการทำงาน ผู้ที่ทำการบังคับการบินของโดรนจะอยู่ด้านนอกแปลง จึงไม่สัมผัสกับสารที่ฉีดพ่น นอกจากนี้การพ่นยายังให้ละอองที่ละเอียดมาก เข้าถึงใบพืชทั่วถึง สามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้สารเคมีได้น้อยลงถึง 50% ทำให้เกษตรกรสามารถดูแลรักษา และควบคุมผลผลิตคุณภาพการผลิตได้อย่างแม่นยำ

  • เครื่องพยากรณ์โรคข้าว

เมื่อ ข้าว ยังเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการปลูกข้าว จึงยังเป็นที่ต้องการของชาวนาไทย ผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ อาจารย์จากภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้คิดค้น เครื่องพยาการณ์การเกิดโรคในนาข้าว ซึ่งประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์เก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ ทั้งเรื่องของอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำฝน ที่ทำงานโดยอาศัยแบตเตอรี่พลังงานโซลาร์เซลล์ 

และทันทีที่เซ็นเซอร์ทำงาน ก็จะส่งสัญญาณไร้สายเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้าน พร้อมส่งข้อมูลประมวลผลเข้าสู่เว็บไซต์ที่มีฐานข้อมูลสถิติ ทำให้เกษตรกรสามารถดูข้อมูลแบบ Real Time ผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอดเวลา จากนั้นโปรแกรมจะวิเคราะห์ว่าอากาศแบบนี้มีแนวโน้มจะเกิดโรคอะไรตามมาในอีกกี่วัน พร้อมแจกแจงแนวทางป้องกันได้อีกด้วย ทำให้ช่วยลดการใช้ยา สารเคมี เสมือนมีภูมิคุ้มกันชั้นดีติดตัว

  • ระบบควบคุมน้ำ อุณหภูมิ และความชื้น ผ่านแอปพลิเคชัน

การจัดการน้ำในช่วงหน้าแล้งนับเป็นปัญหาหนักอกของเกษตรกรไทยมาโดยตลอด คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. จึงได้ร่วมกันพัฒนาอุปกรณ์ “สมาร์ทฟาร์มคิท (Smart Farm Kit)” ระบบควบคุมการรดน้ำอัจฉริยะต้นทุนต่ำ ช่วยบริหารจัดการระบบการใช้น้ำที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดการใช้น้ำในการเกษตรได้ไม่ต่ำกว่า 3 เท่า จากที่เคยใช้อยู่

ด้วยการทำงานร่วมกันของระบบตั้งเวลาเปิด-ปิดน้ำ ที่สามารถสั่งตั้งเวลาเปิด-ปิดปั๊มน้ำได้ตามความต้องการของชนิดพืช ระบบเซ็นเซอร์ติดตามสภาพอากาศ ที่ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นว่าหากต่ำกว่าที่กำหนด ระบบก็จะสั่งรดน้ำโดยอัตโนมัติ และระบบสั่งการและแจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน ที่ช่วยส่งข้อความแจ้งเตือน พร้อมแสดงผลสภาพอากาศบริเวณพื้นที่แปลงเกษตรผ่านระบบสมาร์ทโฟนของเกษตรกร ได้ด้วย

 

ที่มา: https://www.salika.co/2019/04/29/smart-agriculture-trend-2019/


          ดีแทค กรมส่งเสริมการเกษตรและเนคเทค-สวทช. ร่วมมือกันพัฒนา “ดีแทคฟาร์มแม่นยำ” ฟาร์มต้นแบบในการพัฒนาเกษตรแม่นยำผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) หวังเสริมแกร่งเกษตรกรรายย่อย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และควบคุมคุณภาพทางการเกษตร คิกออฟประเทศไทยสู่ยุคเกษตรกรรม 4.0 เต็มรูปแบบ

          นางอรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาให้เกษตรกรไทยก้าวไปสู่ความเป็น Smart Farmer ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของดีแทค โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยทุกคน ภายใต้ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของดีแทค อันได้แก่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลดความ เหลื่อมล้ำผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล และไม่ทิ้งขยะไว้ให้คนรุ่นหลัง เพื่อการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน

          “นี่ถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งของดีแทค ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล เพื่อส่งต่อและเชื่อมโยงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนกลไกของอินเทอร์เน็ตในการขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม”

 

 

          สำหรับ “ดีแทค ฟาร์มแม่นยำ” เป็นโครงการทดลองและวิจัยโดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาพัฒนาด้านการเกษตร โดยหวังผลในการเพิ่มผลผลิต ควบคุมคุณภาพ และลดต้นทุนให้กับเกษตรกรไทย ซึ่งดีแทคและเนคเทค-สวทช. ได้ร่วมกันพัฒนาโซลูชั่น IoT เพื่อควบคุมอุณหภูมิ ความชื้นในดิน ความชื้นในอากาศ แสง และปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องในการเพาะปลูก ซึ่งจะเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันในการแสดงผล การตั้งค่า เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผล เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้อย่างแม่นยำ โดยเนคเทค- สวทช. รับผิดชอบในการวิจัยและผลิตอุปกรณ์ในส่วนของระบบเซนเซอร์ ขณะที่ดีแทครับผิดชอบด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบ dtac Cloud Intelligence

 

 

          ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการต่อยอดจากความร่วมมือทางการเกษตร หลังจากความร่วมมือระหว่างดีแทคและกรมส่งเสริมการเกษตรในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านเกษตรครบวงจร ตั้งแต่การผลิต แปรรูปและการตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างเครือข่ายเกษตรกรเข้มแข็ง

          นางอรอุมา กล่าวเสริมว่า โครงการดีแทคฟาร์มแม่นยำ ได้นำร่องทดลองที่ฟาร์มแตะขอบฟ้า อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรีแล้ว โดยหลังจากนี้ จะเปิดให้เกษตรกรที่เคยผ่านการอบรมโครงการ Young Smart Farmer ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการเกษตรและดีแทคมาแล้วในการสมัครร่วมทดลอง เพื่อหาสูตรที่ดีที่สุดในการปลูกพืชแต่ละชนิด และในพื้นที่สภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งนี้ จะคัดเลือกเกษตรกรจำนวน 30 ฟาร์ม โดยจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้แอปพลิเคชันในระดับดี มีความต้องการที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการทำเกษตรของตนเอง และสามารถถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน นอกจากนี้ จะต้องเป็นเจ้าของฟาร์ม และทำการเกษตรในโรงเรือน ตลอดจนทำการเกษตรแบบปลอดสารเคมี ทั้งนี้ ฟาร์มจะต้องตั้งอยู่ในรัศมีไม่เกิน 300 กิโลเมตรจากกรุงเทพ เพื่อความสะดวกในการวิจัย ติดตามผลและให้คำแนะนำ

          สำหรับการคัดเลือกฟาร์มและประเภทของพืชนั้น ดีแทค ได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการเกษตรในด้านวิชาการ ซึ่งประเภทของพืชในระยะทดลองนี้ จะเป็นพืชที่มีราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด 3 ชนิด ได้แก่ มะเขือเทศ เมล่อน และผักปลอดสารพิษ

 

 

          “ดีแทค หวังว่า โครงการดีแทคฟาร์มแม่นยำจะเป็นโซลูชั่นหนึ่งในการทำเกษตรอย่างยั่งยืน ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสูงสด ด้วยงบประมาณที่น้อยลง” นางอรอุมา กล่าว

          โครงการ “ดีแทคฟาร์มแม่นยำ” เป็นหนึ่งในโครงการร่วมสร้าง Smart Farmer ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศ ตั้งแต่การผลิต การขาย (โครงการเกษตรเชิงพาณิชย์) และการเชื่อมโยงกับผู้บริโภค โดยผ่าน Freshket สตาร์ทอัพในโครงการ dtac Accelerate เชื่อมโยงเกษตรกรผู้ผลิตกับร้านอาหารชั้นนำ

          นายสำราญ สาราบรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีเป้าหมายในการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้เป็น Young Smart Farmer เพื่อรองรับแรงงานภาคเกษตรที่มีแนวโน้มลดลง โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเสริมศักยภาพเกษตรกรไทย และเสริมสร้างให้เกิดเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้มีแนวคิดในการเปลี่ยนการทำเกษตรแบบดั้งเดิมสู่การเกษตรสมัยใหม่ เพื่อนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานสินค้า และมุ่งสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น อาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีมูลค่าสูง สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ได้บูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อที่จะสนับสนุนและพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้เกิดการเรียนรู้ และพร้อมรับกับนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ทันสมัย สำหรับโครงการ “ดีแทคฟาร์มแม่นยำ” นั้น กรมฯ ได้คัดเลือกเกษตรกรรุ่นใหม่ กว่า 30 คน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่สำคัญในครั้งนี้ และมั่นใจว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ที่ได้คัดสรรมา พร้อมที่จะพัฒนาจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของไทยให้ยั่งยืนต่อไป

          ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค กล่าวว่า ภาคเกษตรกรรม ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ตามแผนปฏิบัติการเนคเทคระยะ 5 ปี พ.ศ.2560-2564 ที่มุ่งเน้นงานวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ประเทศ ยกระดับมาตรฐานของผลผลิตทางการเกษตรในแง่ของปริมาณและคุณภาพ ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุน Smart Farm อาทิ เทคโนโลยี what2grow ที่นำไปใช้ใน AgriMap Online สถานีตรวจวัดข้อมูลสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช และเครื่องรับเมล็ดปาล์มอัตโนมัติ

          สำหรับโครงการ “ดีแทคฟาร์มแม่นยำ” ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดของเนคเทค ได้พัฒนาด้านเทคโนโลยีด้านเซนเซอร์ โดยสร้างระบบควบคุมการเพาะปลูกแบบเครือข่ายเกษตรกร จำเพาะเจาะจงตามชนิดของพืช ในระยะแรกจะเน้นการติดตามและเก็บบันทึกปัจจัยการเพาะปลูก เช่น ความชื้นในดิน ความชื้นในอากาศ อุณหภูมิในอากาศ และปริมาณแสงในโรงเรือน

 

 

          ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย เนคเทคคาดว่า ระบบจะช่วยเกษตรกรในการเก็บข้อมูล ประมวลผล และสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่รู้จักใช้เทคโนโลยีในการเพาะปลูกอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างตลาดและโอกาสให้ผู้ประกอบการใหม่ที่สนใจเป็นผู้ประกอบการหรือสตาร์ตอัพ

 

ที่มา: https://www.lifestyle224.com/content/11135/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99-%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99-iot-%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-40



สำหรับ "นวัตกรรมโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ" พัฒนาขึ้นมาโดย “นายนริชพันธ์ เป็นผลดี” นักวิจัยของ ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC: Thai Microelectronics Center) สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นายนริชพันธ์ เล่าว่า ได้รับมอบหมายให้ช่วยออกแบบเทคโนโลยี ระบบ Hendy Sense ระบบควบคุมการจัดการโรงเรือนอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการปรับสภาพแวดล้อมโรงเรือนให้เหมาะสมกับชนิดของพืชที่ปลูก, ระบบการให้น้ำอัตโนมัติขึ้นกับค่าความชื้นในดินทำให้บริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบจะสามารถควบคุมบริหารจัดการการเพาะปลูกได้ทุกที่และทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน รวมไปถึงการให้คำปรึกษาการออกแบบโรงเรือนให้เหมาะสมตามชนิดของพืชที่ปลูก ซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรนำระบบดังกล่าวไปใช้งานจริงแล้วในหลายพื้นที่มากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ

ส่วน ลักษณะของ นวัตกรรมโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ เป็นการออกแบบโรงเรือนระบบปิดซึ่งระบบควบคุมการจัดการโรงเรือนอัตโนมัติ ตามชนิดของพืช ด้วยระบบ IOT จัดการน้ำ ปุ๋ย อุณหภูมิ ความชื้น ในโรงเรือน โดยโปรแกรมควบคุมผ่าน smartphone โดยโรงเรือนจะปรับสภาพแวดล้อม ด้วยการออกแบบความสูงที่เหมาะสม ลดความร้อน มีระบบอัตโนมัติควบคุม การทำงานพัดลมดูดอากาศร้อนใต้หลังคา ระบบปรับลดอุณหภูมิให้กับพืช และม่านบังแสงภายในโรงเรือน วัสดุประกอบโรงเรือน ที่ได้มาตรฐานและคุณภาพสากล ด้วยเหล็กมีคุณภาพดีเหมาะสมกับงานด้านการเกษตร และระบบการให้น้ำในโรงเรือนแบบครบวงจร ออกแบบให้เหมาะสมตามชนิดของพืชและพื้นที่การเพาะปลูก ไม่ต้องห่วงเรื่องพืชขาดน้ำ/ปุ๋ย

ทั้งนี้ ระบบ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ ที่เรากำลังพูดถึงในครั้งนี้ ทางศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเลกทรอนิกส์ ได้ใช้ชื่อว่า Agri-beyond เป็นระบบที่สามารถติดตามข้อมูลสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทางการเกษตรรวมถึงการใช้งานด้านอื่นๆ ได้หลากหลาย โดยใช้เซ็นเซอร์ที่เหมาะสมในการวัดอุณหภูมิ และความชื้นอากาศ ความเข้มแสง ความชื้นดิน ปริมาณน้ำฝน ความเร็วและทิศทางลม เป็นต้น

โดยคุณสมบัติเด่น ของ Agri-beyond ติดตามข้อมูลสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน แบบ Real time monitoring ตั้งค่าที่ต้องการควบคุม (lower-upper limit และแจ้งเตือนในกรณีที่ค่าต่างๆที่กำลังติดตามออกนอกช่วงควบคุมที่ตั้งไว้ บันทึกข้อมูลได้ถึง 1 ปี มีฟังก์ชันในการสั่งงานอุปกรณ์ต่างๆ ตามค่าที่เซนเซอร์ วัดได้ และอุปกรณ์ Agri – beyond นี้ ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์และรับส่งข้อมูลระหว่างกันด้วยเทคโนโลยีไร้สาย เช่น WiFi เป็นต้น สามารถส่งข้อมูล แจ้งเตือน และสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายใช้งานสะดวก

สำหรับราคาอุปกรณ์กล่องควบคุมดังกล่าว อยู่ที่ 20,000 บาท ซึ่งสามารถควบคุมการปลูกพืชในโรงเรือน และพืชที่ปลูกนอกโรงเรือน ควบคุมได้ในพื้นที่ หรือ โรงเรือนที่อยู่ในบริเวณเดียวกันเท่านั้น โดยไม่ได้จำกัด ว่าจะควบคุมได้ในพื้นที่เท่าไหร่ แต่ขอให้อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน ซึ่ง ระบบดังกล่าว ช่วยให้การปลูกพืชบางชนิดที่ต้องอาศัยภูมิอากาศที่เหมาะสม อย่างพืชเมืองหนาว สามารถปลูกได้ในทุกพื้นที่ เพียงแต่ใช้การควบคุมอุณหภูมิ และปลูกในโรงเรือน ที่สำคัญคือ ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแปลงเกษตรที่ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว ได้แก่ โรงเรือนปลูกมะเขือเทศสีดา เมล่อน ผักสลัด ฯลฯ หลังจากติดอุปกรณ์ดังกล่าว ช่วยให้คนสูงอายุ สามารถทำการเกษตรได้ โดยไม่ต้องจ้างแรงงาน และผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้ ทาง ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเลกทรอนิกส์ ได้ทำการอบรมเกษตรกร ในโครงการฟาร์มแม่นยำ โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้เงินทุนสนับสนุน ในการลงทุนอุปกรณ์ให้ก่อน และให้เกษตรกรผ่อนชำระ ในภายหลัง

 

ที่มา: https://mgronline.com/smes/detail/9600000085732

ทั้งความเชื่อว่าการมี “นวัตกรรม” จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรไทยให้มีความเป็นอยู่ทีดีขึ้น และจะส่งเสริมให้ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตสำคัญของผลิตผลเกษตรของโลก

CAT จึงเกิดแนวคิดการจัดตั้งโครงการ CAT Digital Come Together ขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้ชาวนาและเกษตรกรเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล และสามารถนำมาใช้ในการประกอบอาชีพได้ โดยการสนับสนุนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์เป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบให้กับเกษตรกรชุมชน และพัฒนาเพื่อก้าวสู่การเป็น Smart Farmer อย่างเต็มตัว

เพราะอย่างที่ทราบว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก แต่ที่ผ่านมาการทำเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมได้ส่งให้ผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้เกษตรกรของไทยยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ขณะเดียวกันการมองเห็นว่าในยุคที่โลกกำลังขับเคลื่อนสู่ความเป็น Smart ในทุกเรื่อง เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตกำลังมีบทบาทในการทำเกษตรยุคใหม่มากขึ้น

หลังก่อตั้งโครงการในปี 2559 CAT ได้ริเริ่มโครงการนำร่อง Smart Farmer ในพื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาโครงการกสิกรรมไร้สารพิษอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาเป็นแห่งแรก และนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารเข้ามาช่วยเกษตรกรในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและประหยัดเวลา จนสามารถยกระดับการทำอาชีพด้านเกษตรกรรมให้ก้าวหน้าได้ผลผลิตที่ดีขึ้น และยังขยายผลไปสู่ทุกพื้นที่ของสังคมไทยในระยะยาว

CAT  ร่วมทำงานกับเกษตรกรไทย นำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาอาชีพเกษตร โดยเฉพาะหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีบทบาทเป็นอย่างมากคือ Internet of Things (IoT) ได้เข้ามาช่วยสร้างความสะดวกให้กับเกษตรกรหรือชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรประหยัดเวลา และประหยัดแรงได้มากขึ้น

สำหรับความสำเร็จในปี 2561 ของโครงการ CAT Digital Come Together สามารถช่วยส่งเสริมต่อยอดให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี และมีหลายโครงการที่น่าสนใจซึ่งกำลังจะกลายเป็นต้นแบบ Smart Farmer ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรไทยทั่วประเทศ

“แปลงผักรดน้ำด้วย IoT”

หนึ่งในเทคโนโลยีที่กลายเป็น “จิ๊กซอว์” ตัวสำคัญของโอกาสการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณครูสิริวรรณ บุญลือ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล๓  บ้านต่ำบุญศิริ จังหวัดนครนายก พบปัญหาการใช้น้ำในการรดพืชผัก ซึ่งนอกจากค่าน้ำจะแพงแล้ว นักเรียนยังเสี่ยงอันตรายจากการเดินเท้าเข้าไปรดน้ำเองอีกด้วย

ระหว่างที่กำลังคิดหาทางแก้ปัญหานี้สักพักหนึ่ง คุณครูสิริวรรณก็ได้พบกับ นายปัญญพงศ์ พุทธรัตน์ หรือ “พี่แจ้”  ซึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ของ CAT  ที่กำลังสนใจทำเรื่องระบบน้ำอยู่พอดี ทั้งสองก็เลยได้คุยกันถึงปัญหาที่พบและร่วมกันมองหาทางออก หลังจากที่คุณครูชวนพี่แจ้มาเยี่ยมชมโรงเรียน จึงกลายเป็นโอกาสดีที่พี่แจ้จะได้เห็นพื้นที่จริง และมองหาวิธีการพัฒนาแปลงผักรดน้ำด้วยเทคโนโลยี IoT ต่อไป

จากความเป็นผู้ให้ของคุณครูสิริวรรณร่วมกับการสนับสนุนจากพี่แจ้ ส่งต่อให้ทั้งคู่นำความรู้เรื่องเทคโนโลยีการรดน้ำนี้ไปสอนให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ จดจำ ทำตาม และสอนให้รู้จักทุกกระบวนการ จวบจนทำคำสั่งการรดน้ำติดตัวเป็นความรู้เพื่อนำไปช่วยพัฒนาการเกษตรของครอบครัว อีกทั้งยังสามารถต่อยอดสู่สิ่งที่นักเรียนสนใจในอนาคตได้

“นวัตกรรมการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ด้วย IoT

หลังจากคุณแพง จุฑาวรรณ อุ้มชู ผู้ก่อตั้งฟาร์มสุข ได้มีโอกาสเข้าร่วมในโครงการ Young Smart Farmer ของจังหวัดสงขลา ซึ่งทางโครงการได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน โดยมี CAT เข้ามาร่วมสนับสนุนโครงการด้วยการนำกล่อง IoT หรือ Internet of Things มาให้เกษตรกรในพื้นที่

คุณแพง จุฑาวรรณ กล่าวว่า “เรามีโอกาสได้ไปเข้าเรียนกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยส่วนตัวเรามีความสนใจอยู่แล้ว พอเราไปเรียนก็ทำให้เราเขียนโปรแกรมได้สามารถต่อยอดธุรกิจ เปลี่ยนการให้น้ำแทนการพ่นหมอก”

“เกษตรอินทรีย์ IoT การรับไม้ต่อของทายาทศูนย์กสิกรรมธรรมชาติโป่งแรด

อีกหนึ่งตัวอย่างเกษตรกรรุ่นใหม่ต้นแบบ คุณนุ่ม วรเพชร วงษ์เจริญ ได้ใช้ความรู้และประสบการณ์การทำงานด้านเทคโนโลยีเป็นทุนเดิม ทดลองนำความรู้ในการทำแปลงผักมาพัฒนาร่วมกัน ผนวกกับโครงการ CAT Digital Come Together ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้คุณนุ่มสามารถนำองค์ความรู้และอุปกรณ์ต่างๆ ไปใช้ต่อยอดในการทำเกษตร พร้อมทั้งอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรคนอื่นๆ ได้ต่อไปเป็นวงจรของเกษตรกรที่ทำให้การทำเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไปในอนาคต

“ครอบครัวสิมศรีกับอนาคตว่าที่ Smart Farmer เมืองไทย”

อดีตเกษตรกรผู้ที่ทิ้งเมืองกรุงมุ่งสู่วิถีชาวเกษตร ลุงสนั่น สิมศรี และครอบครัว เจ้าของสวนผักปลอดสารพิษ ที่ได้กลายเป็นศูนย์เรียนรู้การทำเกษตรแบบสมาร์ตฟาร์มเมอร์  (Smart Farmer) แก่เกษตรกรที่สนใจได้เข้ามาศึกษาและเรียนรู้

ปัจจุบันลุงสนั่นกำลังเริ่มต้นอาชีพเกษตรยุค IoT เพื่อความอยู่รอดของเกษตรกรไทย และที่สำคัญมองว่าอาชีพเกษตรอัจฉริยะในอนาคตจะได้รับความสนใจมากขึ้น

“ทาง CAT ส่งโปรแกรมเมอร์มาสอนการใช้เทคโนโลยี ผมรู้สึกว่ามันไม่น่ากลัว แต่น่าตื่นเต้น ถึงแม้จะไม่เคยใช้ แต่เราก็ไม่คิดว่าจะทำไม่ได้ ต้องเรียนฝึกฝนเอา เพื่อที่จะสบายขึ้นในอนาคต เพราะการนำเทคโนโลยี Internet of Things. (IoT) เข้ามาช่วย มันดีที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ถ้าใช้คนอาจจะช้าลง แต่ระบบอัตโนมัติสามารถช่วยประหยัดเวลาของเราได้มาก การเป็นเกษตรกรถึงรายได้อาจจะได้น้อยแต่ว่าเราก็มีความสุขที่เราได้ทำ ได้ดูแลเอง” ลุงสนั่น กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

“โรงเรียนต้นแบบ Smart Farm  ส่งต่อสู่ชุมชน”

ในปีที่ผ่านมาทางโรงเรียนบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จังหวัดลำปาง ได้เข้าร่วมโครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนผ่านห้องมัลติมีเดียกับ CAT และในปีนี้ทางโรงเรียนได้ต่อยอดมาเข้าร่วมโครงการ CAT Digital ComeTogether ซึ่งได้รับมอบอุปกรณ์ IoT เพื่อสร้าง Smart Farm ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องการเกษตรและเทคโนโลยีไปพร้อมๆกัน โดยมีว่าที่ ร.ต. วัฒนา บุญละคร ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้ริเริ่มผลักดันโครงการ ร่วมด้วยคุณครูธานินทร์ พรมวิชัย  ครูชำนาญการ เป็นผู้ลงมือปฏิบัติและถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กๆ จากแปลงเมล่อนเล็กๆ กำลังขยายเป็นความฝันใหญ่ของทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่อยากเห็นภาพของครอบครัวและชุมชนพวกเขาได้ทำเกษตรอัจฉริยะเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

แน่นอนว่าเทคโนโลยีที่ดีคือการทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น สามารถสร้างทั้งโอกาสและความได้เปรียบในชีวิตและการประกอบอาชีพที่ยั่งยืน

ผลจากการร่วมมือกับการพัฒนาเกษตรกร Smart ทำให้โครงการ CAT Digital Come Together ยังต่อยอดมาเป็นโซลูชัน Smart Farmer อีกมากมาย และความตั้งใจที่จะนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต และการสื่อสารเข้ามาแก้ไขข้อจำกัดหรือจุดอ่อนของเกษตรกรไทยนี้เอง สะท้อนถึงการมองเห็นความสำคัญของ CAT ในการนำประโยชน์จากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมบวกกับความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบแนวคิด CAT Digital Come Together ยังทำให้ CAT มุ่งพัฒนาองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยในแต่ละชุมชน และขยายสู่สังคม เพื่อนำพาสังคมให้สามารถก้าวทันยุคไทยแลนด์ 4.0  โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

ที่มา: https://www.marketingoops.com/tech-2/cat-digital-come-together-smart-farmer/

ระบบเซ็นเซอร์ในไร่อ้อยอัจฉริยะ

ปัจจุบันในหลาย ๆ อุตสาหกรรมมีการนำอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์มาช่วยทำให้การผลิตเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เซ็นเซอร์มาช่วยทำให้เกิดระบบอัจฉริยะที่สามารถประเมินผลและควบคุมตนเองได้ ด้วยการส่งและรับข้อมูลต่าง ๆ จากทุกสิ่งที่เชื่อมต่อเข้าหากัน ซึ่งที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ IoT หรือ Internet of Things

ในอุตสาหกรรมเกษตรได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้นมาใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นผู้นำในด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร เช่น ประเทศอิสราเอล เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ รวมถึงสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

มิตรชาวไร่อาจจะได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านี้ ในชื่อต่าง ๆ เช่น สมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) ฟาร์มอัจฉริยะ  (Intelligent Farming, Autonomous Farming) เกษตรกรรมความแม่นยำสูง (Precision Farming, Precision Agriculture) รวมไปถึง การบริหารจัดการนํ้า  (Water Resources Management)

ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลัก ๆ ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และเซ็นเซอร์ (ซึ่งถือเป็น Hardware) การจัดส่งและรับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นแบบมีสาย (LAN) หรือไร้สาย (Wireless LAN) และการประเมินผลด้วยโปรแกรมหรือระบบงาน (Software or Application)  ซึ่งก็เป็น IoT อย่างหนึ่ง

เราจะขอกล่าวถึง เซ็นเซอร์เป็นหลัก ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญที่ทาง ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง เซ็นเซอร์ที่ทางศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ได้วิจัยและพัฒนามา ได้แก่ เซนเซอร์ที่ใช้วัดความเข้มข้นของไอออนของสารเคมี (Ion Sensitive Field Effect Transistor) เซ็นเซอร์วัดความดัน (Pressure Sensor) เซ็นเซอร์วัดความชื้น (Humidity Sensor) เซ็นเซอร์ตามหาแสงอาทิตย์ (Solar Tracker Sensor) เป็นต้น  

ตัวอย่างการใช้งานของระบบเซ็นเซอร์ในไร่อ้อย

ฟาร์มอัจฉริยะในไร่อ้อย มีระบบท่อน้ำหยดใต้ดินที่มีการเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์จะมีเซ็นเซอร์วัดความดันติดตั้งในท่อน้ำหยด เพื่อคอยตรวจสอบความสมบูรณ์ของท่อว่าไม่มีการรั่วไหลในท่อตั้งแต่ต้นทางจน ถึงปลายท่อ โดยมีการให้ปุ๋ยผ่านระบบน้ำหยดนี้ ซึ่งควบคุมระบบจ่ายน้ำและปุ๋ย ผ่านเซ็นเซอร์วัด N-P-K  ซึ่งถูกพัฒนาจากเซ็นเซอร์ที่ใช้วัดความเข้มข้นของไอออนของสารเคมี ทำให้การใช้ทรัพยากรน้ำและสารเคมี (ปุ๋ย) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบเซ็นเซอร์ในไร่อ้อยอัจฉริยะ-004.jpg

การจ่ายน้ำนั้นยังต้องได้ข้อมูลจากสภาพความชื้นในอากาศและในดิน ผ่านการส่งข้อมูลจาก เซ็นเซอร์วัดความชื้น ที่ถูกติดตั้งเหนือดินและใต้ดิน ระบบฟาร์มอัจฉริยะนั้นได้รับพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซล่าร์เซลล์ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับระบบสื่อสาร ระบบเซ็นเซอร์ ปั๊มน้ำและระบบกลไกต่าง ๆ ทั้งหมด เพื่อให้ประสิทธิผลในการรับแสงดีที่สุด เซ็นเซอร์ตามหาแสงอาทิตย์ถูกนำมาใช้ในการปรับทิศทางของ แผงโซล่าร์เซลล์ให้ได้รับแสงอาทิตย์มากที่สุดทั้งวัน

ในฐานะเกษตรกรอย่างเรา ตอนนี้คงต้องรับข่าวสารเทคโนโลยีเหล่านี้กันต่อไป จนกระทั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถนำมาจำหน่าย หรือแนะนำให้เกษตรกรใช้ได้อย่างแท้จริง คาดว่าอีกไม่นานระบบฟาร์มอัจฉริยะจะกระจายทั่วทุกพื้นที่เกษตรของประเทศไทยแน่นอน

 

ที่มา: http://www.mitrpholmodernfarm.com/news/2018/07/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0

ฟูจิตสึชูโครงการ เกษตรกรรมอัจฉริยะ ‘อิวาตะ’

โครงการเกษตรกรรมอัจฉริยะใน เขตอิวาตะ ประเทศญี่ปุ่น เกิดจากการร่วมมือกันสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจเพื่อการเกษตรเข้มแข็งและสามารถปรับตัวได้โดยใช้ประโยชน์จากแหล่งความรู้อันหลากหลายโครงการเกษตรกรรมอัจฉริยะในเขตอิวาตะเกิดจากการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทฟูจิตสึ โอริกซ์ และมาสึดะ ซีด โดยบริษัทชั้นนำ 3 บริษัทได้จับมือกันจัดทำโครงการนวัตกรรมทางเกษตรกรรม โดยบริษัทแรกเป็นบริษัทที่มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง ส่วนบริษัทที่สองเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเรือนเพาะชำพืชการเกษตรที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ที่หลากหลาย และบริษัทที่สามคือบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีทักษะความชำนาญในด้านเทคโนโลยีดิจิตอล

นาย มาซายูกิ คุราชินา ผู้จัดการทั่วไป แผนกธุรกิจการเกษตรบริษัท โอริกซ์ คอร์ปอเรชั่น และ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท มาสึดะ ซีด จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ต้องการผลักดันพืชผลและเมล็ดพันธุ์อันหลากหลายของญี่ปุ่นเข้าสู่ตลาดระดับโลก โดยการวางตัวโครงการใหม่นี้ให้เป็นห้องแสดงสินค้าพืชผลและเมล็ดพันธุ์ นั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการสร้างสรรค์ธุรกิจร่วมกันนี้

ปัญหาด้านโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในตลาดการส่งออกผลผลิตการเกษตรอันแข็งแกร่งของญี่ปุ่นการส่งออกของโภคภัณฑ์ทางการเกษตรที่เจริญเติบโตของญี่ปุ่นอันเนื่องมาจากความนิยมในอาหารญี่ปุ่นที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลกส่งผลให้ตัวเลขส่งออกในปี 2015 อยู่ที่ 443,200 ล้านเยน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2 จากปีก่อน หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ก็อาจกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมการเกษตรของญี่ปุ่นนั้นมีอนาคตที่สดใสมาก แต่หากวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนขึ้นก็จะพบว่า อุตสาหกรรมนี้มีปัญหาทางด้านโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข หากยังต้องการที่จะเจริญเติบโตต่อไปเรื่อยๆปัญหาประการแรกคือ องค์กรการเกษตรส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและขาดแคลนทรัพยากรเพื่อใช้ลงทุนในการพัฒนานวัตกรรม และการผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เจริญเติบโตสูงขึ้น

ฟูจิตสึชูโครงการ-003.jpg

นอกจากนี้ ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างคือ เกษตรกรชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันเริ่มชราภาพลงไปทุกวันและหากคนรุ่นใหม่ๆ ไม่ต้องการที่จะทำงานในอุตสาหกรรมนี้ จำนวนเกษตรกรก็จะลดลงเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาพื้นที่ทางการเกษตรถูกละทิ้งหรือไร้การเพาะปลูก และผลที่ได้ก็คือ ผลิตผลทางการเกษตรจะมีจำนวนน้อยลง และส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจระดับภูมิภาคธุรกิจการเกษตรได้กลายมาเป็นธุรกิจระดับโลก และมีการแข่งขันกันที่สูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้หมายความว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นจำเป็นต้องลุกขึ้นมาพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเกษตรของตนเองใหม่อีกครั้งเชื่อมต่อกับตลาด ผู้ผลิต และธุรกิจเรือนเพาะชำด้วยบริการระบบคลาวด์เพื่อธุรกิจอาหารและเกษตรกรรม “Akisai” ของฟูจิตสึ จึงได้เข้าไปเกี่ยวข้องในโครงการเกษตรกรรมอัจฉริยะมากมาย เพื่อมีส่วนร่วมช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรมนี้มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2012 โดยโครงการเหล่านี้มีเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งความรู้และข้อมูลต่างๆ และจากผู้ประกอบการหลายราย อันจะนำไปสู่การพัฒนาระดับภูมิภาค ผ่านภาคการเกษตรที่มีความเข้มแข็งขึ้นสิ่งนี้ได้สร้างความท้าทายให้กับฟูจิตสึอย่างมาก เพราะบริษัทได้ก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจเกษตรกรรมในฐานะเจ้าของกิจการ ไม่ใช่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพียงอย่างเดียวโครงการเกษตรกรรมอัจฉริยะใหม่ในเขตอิวาตะนี้ เป็นหนึ่งในโครงการริเริ่มด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะแรกๆ ที่ฟูจิตสึเข้าไปร่วมดำเนินการ และได้เปิดตัวโดยมีเป้าหมายในการสร้างรากฐานเกษตรกรรมให้มีความเข้มแข็ง

โดยจุดแข็งของโอริกซ์ คือความเชี่ยวชาญในการประเมินความต้องการของผู้ให้บริการด้านอาหารและอุตสาหกรรมค้าปลีกได้เป็นอย่างดี โดยมีเครือข่ายการกระจายสินค้าทางการเกษตรสำหรับลูกค้าระดับประเทศที่หลากหลายผ่านบริการทางการเงินของบริษัท จุดแข็งข้อนี้ มีการนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกับวิธี ‘Market-in’ ซึ่งจะมีการวางแผนการผลิตโดยอ้างอิงจากความต้องการของลูกค้า ที่มีการตั้งเป้าไว้ว่า หากวิธีการนี้สามารถระบุประเภทของผักที่ผู้บริโภคต้องการในร้านค้าปลีกต่างๆ ได้ ก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ผู้ผลิตตอบรับความท้าทายในการผลิตพืชผลใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายขึ้นโครงการนี้จะยังสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจเรือนเพาะชำพืชและเมล็ดพันธุ์ที่มีการทำการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตรอีกด้วยในปัจจุบันธุรกิจดังกล่าวยังคงเป็นความลับที่ยังไม่ได้รับเปิดเผยอยู่เกษตรกรชาวญี่ปุ่นมีการติดต่อกับตลาดนานาชาติน้อยมาก และพันธุ์พืชที่เกษตรกรเหล่านี้มีการเฝ้าบ่มเพาะด้วยความยากลำบากก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผยในตลาดดังกล่าว

ฟูจิตสึชูโครงการ-004.jpg

อย่างไรก็ดี โครงการใหม่นี้ควรมีการแก้ปัญหาโดยการเป็นตัวแทนระหว่างตลาด ผู้ผลิต และธุรกิจเรือนเพาะชำซึ่งการสร้างสรรค์ธุรกิจร่วมกันนี้ได้เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจเรือนเพาะชำอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากที่ตอนนี้มีหลายบริษัทติดต่อบริษัท มาสึดา ซีด เพื่อขอเข้าร่วมเป็นผู้ค้าในโครงการใหม่นี้แล้วจัดตั้งรูปแบบเกษตรกรรมใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิตอลอย่างเต็มที่โครงการเกษตรกรรมอัจฉริยะในเขตอิวาตะจะจัดตั้งรูปแบบเกษตรกรรมใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิตอล เช่น เซ็นเซอร์ระบบเครือข่าย และระบบคลาวด์อย่างเต็มที่ โดยจะเริ่มจากการตอบสนองอุปสงค์ของตลาดที่มีความต้องการมะเขือเทศ พริกหยวก และผักคะน้าอย่างมาก

โรงงานเพาะปลูกจะประกอบด้วยเรือนกระจกขนาดใหญ่หลายหลังจะสร้างไว้ในเมืองอิวาตะ จังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีปริมาณแสงแดดมากกว่าเฉลี่ยของประเทศถึงร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้นจึงเหมาะแก่การปลูกพืชในเรือนกระจกอย่างยิ่ง ในการวัดอุณหภูมิความชื้นระดับคาร์บอนไดออกไซด์ และความเข้มข้นของสารไฮโดรโปนิกส์จะมีการใช้เซ็นเซอร์ที่จะติดตั้งไว้ในเรือนกระจกเหล่านี้ข้อมูลที่เซ็นเซอร์นี้จับได้จะส่งไปจัดเก็บที่คลาวด์ของระบบอาหารและเกษตรกรรม “Akisai” ของฟูจิตสึ การติดตามอุณหภูมิในห้องเรือนกระจกแบบเรียลไทม์จากทางไกล รวมทั้งการเปิดและปิดหน้าต่างการเริ่มและหยุดพัดลมดูดอากาศ การควบคุมอุณหภูมิ อากาศ และฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่มีการดำเนินการจากทางไกล ทั้งหมดจะค่อยๆ ช่วยสร้างความเข้าใจทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับวิธีบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการปลูกพืชผักในอนาคต ข้อมูลประสิทธิภาพการเพาะปลูกที่มีการจัดเก็บไว้ใน Akisai จะรวมการตั้งค่าเซ็นเซอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ จะมีการรวบรวมวิธีการควบคุมสภาพแวดล้อมเรือนกระจกเข้าด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาธุรกิจการออกใบอนุญาตที่จะให้ได้มาซึ่งผลิตผลและคุณภาพที่มีความเสถียร

นาย ทาเคชิ ชูโดะ รองผู้จัดการหน่วยงาน สำนักวางแผนนวัตกรรมแบบเปิดด้านเกษตรกรรมและอาหาร ประจำหน่วยธุรกิจด้านนวัตกรรมของฟูจิตสึ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของบริษัทคือการเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนนวัตกรรมด้านเกษตรกรรมในประเทศญี่ปุ่น ผ่านการสร้างสรรค์ธุรกิจร่วมกัน และเพื่อให้มีส่วนช่วยในการทำให้เศรษฐกิจระดับภูมิภาคกลับมาคึกคักอีกครั้งผ่านภาคการเกษตรหน้าจอติดตามดูสภาวะของเรือนเพาะชำ

 

ที่มา: http://www.mitrpholmodernfarm.com/news/2018/06/%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B6%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0-%E2%80%98%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B0%E2%80%99

ปลูกผักด้วยระบบน้ำหยดจากอิสราเอล จบครบที่งบ 3 พัน

การทำไร่แบบมิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม มีการบริหารจัดการที่ทันสมัย มีการทำงานที่ถูกวิธี ถูกเวลา ทำให้มิตรชาวไร่มีเวลาเหลือพอที่จะไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ หลายคนหันมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ปลูกผัก ทำไร่ควบคู่กันไป ซึ่งนอกจากเราจะมีพืชผักไว้กินแล้ว ยังมีเหลือขายเป็นรายได้อีกทางด้วย

MPMF วันนี้ เอาใจคนปลูกพืชผักไว้กินไว้ขายในไร่กันค่ะ สำหรับบ้านไหนน้ำน้อย ค่อนข้างแล้ง วันนี้มีการปลูกผักด้วยระบบน้ำหยดจากอิสราเอลมาฝากกัน อุปกรณ์ต่าง ๆ หาซื้อได้ไม่ยาก รับรองว่าอ่านจบเดินออกไปหาซื้อได้ตามร้านค้าแถวบ้านได้แน่นอน

วิธีที่เราจะนำเสนนอในวันนี้ เป็นแปลงผักทดลองปลูกในแปลงสวนครัวขนาด 200 ตร.ม. ปลูกพืชห่างระหว่างแถว 50 ซม.

อุปกรณ์

ถังน้ำ 200 ลิตร ท่อพีวีซี วาล์วน้ำ ข้อต่อต่าง ๆ เทปน้ำหยด และอุปกรณ์ต่อพ่วง

ขั้นตอน

  1. เจาะรูก้นถังน้ำ 200 ลิตร ประมาณ 5 ซม. แล้วติดตั้งทางน้ำออก โดยนำข้อต่อพีวีซีเกลียวนอกพันด้วยเทปพันเกลียว ขันเข้ารูแล้วล็อคให้แน่น
  2. ติดตั้งวาล์วพีวีซี ให้หัวลูกศรที่ตัวกรองหันไปทิศทางเดียวกับการไหลของน้ำ ติดตั้งท่อพีวีซีตามความกว้างของหัวแปลง
  3. ตั้งถังบนที่สูงให้สูงกว่าแปลงปลูก 1-2 เมตร จากนั้นเจาะท่อพีวีซีในตำแหน่งที่ต้องการวางสายเทปน้ำหยด ใส่ลูกยางกันรั่วในรูที่เจาะ ถ้าขนาดไม่พอดีกับข้อต่อเกลียว 1 นิ้ว ให้ใช้ตะไบท้องปลิงถู ๆ ขัด ๆ ก็จะได้พอดี ไม่หลวมไม่แน่นจนเกินไป จากนั้นใช้เทปพันเกลียว พันให้หนาพอประมาณ ขันเข้าไป โดยใช้ต่อตรงเกลียวนอก 1 นิ้ว ขันล็อคไว้ในถัง แนะนำว่าควรเจาะท่อให้สูงกว่าก้นถังเล็กน้อย เพื่อป้องกันตะกอนที่ก้นถัง
  4. หลังจากเจาะรูก็เริ่มต่อท่อ โดยต่อวาล์วพีวีซีก่อน จากนั้นจึงต่อกรอง ควรเลือกใช้กรองแบบตะแกรง เพื่อให้น้ำไหลสะดวกนะคะ

ข้อดีของระบบน้ำหยด

  1. พืชได้รับน้ำทั่วทั้งแปลง
  2. ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำ 50 ลบ.ม./แปลง/1 ฤดูกาลเพาะปลูก
  3. ประหยัดแรงงาน ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะในการดูแลระบบเทียบค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันหรือไฟฟ้า ไม่เกิน 200 บาท/1 ฤดูกาลเพาะปลูก (4 เดือน)
  4. ใช้งานได้ดีกับดินและพืชทุกชนิด
  5. ดูแลง่าย และใครก็ทำได้

สำหรับมิตรชาวไร่ที่มีพื้นที่ปลูกมาก สามารถประยุกต์ใช้ให้พอเหมาะกับพื้นที่ได้ไม่ยากค่ะ แค่เพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปตามสัดส่วน และสามารถเติมน้ำหมัก ปุ๋ยน้ำสูตรต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจ หายห่วง

 

ที่มา: http://www.mitrpholmodernfarm.com/news/2018/03/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%A5-%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A-3-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99

agricultural

ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเกษตรกรรม เชื่อว่าทุกคนรู้ดี แต่วันนี้ ไทยกำลังจะขยับสู่เทรนด์ “Smart Farmer” แล้ว มีใครรู้หรือยัง? เริ่มต้นจากความร่วมมือครั้งแรกของ 3 หน่วยงาน ได้แก่… สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) กลุ่มมิตรผล และ IBM นำร่องเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” ในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจอย่าง “อ้อย” ให้มีผลผลิตและประสิทธิภาพในการรับมือกับธรรมชาติได้มากขึ้น

อ้อย เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ใช้ในการผลิตน้ำตาลและพลังงานชีวภาพทั้งในไทยและทั่วโลก โดยปัจจุบัน ไทย เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองของโลก และยังมีบทบาทสำคัญในการป้อนน้ำตาลสู่ตลาดโลก โดยปี 2560 มีส่วนแบ่งตลาดถึง 9.4% อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าไทยจะสามารถผลิตน้ำตาลได้ถึง 14.1 ล้านเมตริกตันในปี 2561 – 2562 หรือเพิ่มขึ้นราว 3% จากปีที่ผ่านมา

สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ คือ กลุ่มมิตรผล ผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกและรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย จะอยู่ในฐานะเจ้าของข้อมูลมหาศาล ที่ได้จากการเครื่องมือที่ติดตั้งในไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการ ส่วน IBM ก็เป็นเจ้าของเทคโนโลยีทั้ง Big Data, Analytic, AI, IoT ที่นำมาใช้ในโครงการความร่วมมือนี้ ขณะที่ สวทช. ก็มีบทบาทหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้การวิจัยและการพัฒนาประเทศ โดยทั้ง 3 หน่วยงาน ทำหน้าที่ ร่วมลงทุน” และนำร่องพัฒนาแดชบอร์ดอัจฉริยะและแอปพลิเคชันมือถือ เพื่อทำให้ผู้เชี่ยวชาญได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอ้อย อาทิ ความชื้นของดิน ความเสี่ยงในการถูกโจมตีจากโรคและศัตรูพืช การคาดการณ์ผลผลิต และดัชนีคุณภาพความหวานของอ้อย จากข้อมูลการประมวลผลจากเทคโนโลยี AI และข้อมูลสภาพอากาศที่แม่นยำที่สุดของโลกจาก The Weather Company รวมถึงเทคโนโลยี IoT และ Analytic

NSTDA_MitrPhol_IBM_01

ความร่วมมือระหว่าง สวทช. กลุ่มมิตรผล และ IBM

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือครั้งนี้มีกรอบเวลา 2 ปี และดำเนินงานผ่านไร่อ้อย 2,000 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มมิตรผลและเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการ เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์จะทำให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูล เพื่อประเมินและจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถวางแผนและรับมือกับภัยคุกคามที่อาจทำให้สูญเสียผลผลิตได้ดีขึ้น

“ไทย” ประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิก ที่ใช้ IBM Watson กับเกษตร

คุณปฐมา จันทรักษ์ รองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ IBM ประเทศไทย อธิบายว่า เป้าหมายของความร่วมมือในครั้งนี้คือการนำข้อมูลเชิงลึกเป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพทำไร่อ้อยให้เกษตรกรไทย และเพิ่มขีดความสามารถและการแข่งขันให้การเกษตรซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ซึ่งการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้งานในครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมสู่ก้าวใหม่ของ Smart Farmer ในประเทศไทย

ปฐมา จันทรักษ์ IBM

คุณปฐมา จันทรักษ์ จาก IBM

ส่วนเทคโนโลยีของ IBM จะเป็นการนำแพลทฟอร์ม Agonomic Insights Assistant ซึ่งนักวิจัยของ IBM กำลังพัฒนาภายใต้แพลทฟอร์มวัตสัน IBM Watson Decision Platform for Agriculture ซึ่งร่วมกับระบบที่เรียกว่า IBM PAIRS Geoscope การผสานข้อมูลความสัมพันธ์เชิงเวลาและพื้นที่ เช่น ภาพถ่ายพืชผลจากกล้องหลายช่วงคลื่นที่เก็บภาพมาจากดาวเทียมจำนวนมาก ข้อมูลดิน ข้อมูลแบบจำลองความสูงของภูมิประเทศในรูปแบบดิจิทัล ร่วมกับข้อมูลทางการเกษตร เช่น สุขภาพของอ้อย ระดับความชื้นของดิน เป็นต้น โดยใช้โมเดลของ The Weather Company ก่อนนำไปใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีการสำรวจพื้นที่ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับการทำไร่อ้อยในประเทศไทยโดย สวทช. และความรู้เฉพาะทางด้านการเกษตรจากกลุ่มมิตรผล ร่วมกันกลั่นกรองเป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาวะขาดน้ำและอาหาร ที่ส่งผลต่อการเติบโตของอ้อย ความเสี่ยงของโรคและศัตรูพืช ปริมาณผลผลิต และดัชนีคุณภาพอ้อย

“เทคโนโลยีไม่ได้เข้ามาเพื่อแทนที่มนุษย์ แต่เข้ามาช่วยทำงาน ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาสร้างผลลัพธ์ในอนาคต ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น หากเราทำสำเร็จในการเริ่มต้นด้วยอ้อยก็เชื่อว่าจะสามารถต่อยอดสู่พืชเศรษฐกิจอื่นหรือพืชอื่นเป็นแนวทางการใช้เทคโนโลยีกับการเกษตรต่อไป และวันนี้ AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายแต่การนำข้อมูลไปใช้งานนั้นยังไม่เต็มประสิทธิภาพ ประกอบกับไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและเป็นครัวของโลก ทำให้เราต้องการผลักดันเทคโนโลยีให้มีบทบาทในทุกอุตสาหกรรมของไทยอย่างแพร่หลาย หากพูดถึงเรื่องเกษตรกรไทยกับการใช้แดชบอร์ด เมื่อ 10 ปีที่แล้วคงเป็นเรื่องตลก แต่วันนี้เราได้เห็นเกษตรกรมีสมาร์ทโฟน ถือมือถือดูข้อมูลจากระบบออนไลน์ได้ด้วยตัวเองแล้ว”

ส่วนสาเหตุที่เริ่มต้นการใช้เทคโนโลยีกับอ้อย เนื่องจากกลุ่มมิตรผลเป็นผู้สนับสนุน ทั้งพื้นที่จัดเก็บข้อมูลผ่านไร่อ้อยกว่า 2,000 ไร่ และยังเปิดให้เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ทางการเกษตรอีกด้วย

“มิตรผล” สมประโยชน์! เพิ่มศักยภาพผลผลิต

รศ.ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอต กลุ่มมิตรผล

รศ.ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอต จากกลุ่มมิตรผล

รศ.ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอต Head of Innovation and Research Development Institute กลุ่มมิตรผล กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังพยายามผลักดันให้นำมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ผลผลิตอ้อยทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ เพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ IBM ในครั้งนี้ ที่นำเทคโนโลยี AI การสำรวจระยะไกลผ่านดาวเทียม และระบบพยากรณ์อากาศขั้นสูงของ IBM มาสร้างการทำเกษตรแม่นยำ เพื่อพัฒนาเกษตรกรไทยสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ Modern Farming ได้รวดเร็วขึ้น

“ที่ผ่านมาเรามีข้อมูลจำนวนมากที่ไม่เคยนำมาใช้งานเลย ความมุ่งหวังจากโครงการนี้ คือ การเพิ่มจำนวนผลผลิต สามารถคาดการณ์ความหวานของอ้อยได้ และมีข้อมูลรับมือการเกิดภัยคุกคามจากโรคและศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

หวังเกษตรกรรมไทยเข้าสู่ Smart Farmer อีก 10 ปีจากนี้

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย NECTEC

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย จาก NECTEC

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ NECTEC แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า ปัจจุบันเกษตรกรไทยที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับเกษตรกรรมมีน้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับจำนวนทั้งประเทศ แต่เชื่อว่าประเทศไทยสามารถเข้าสู่เทรนด์การเกษตรอัจฉริยะได้ภายใน 10 ปีจากนี้

“ปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรไทยไม่กล้านำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานกับการทำเกษตรกรรม เนื่องจากไม่มั่นใจว่าเทคโนโลยีจะสร้างประโยชน์ให้พวกเขาได้จริงและกังวลว่าต้องทำอย่างไร การร่วมมือกับกลุ่มมิตรผลและ IBM ในครั้งนี้จะกลายเป็นต้นแบบให้เกษตรกรไทยได้เห็นความสำเร็จ และเปิดใจยอมรับเทรนด์ Smart Farmer เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ที่มา: https://www.marketingoops.com/digital-life/nstda-collab-with-mitrphol-group-and-ibm-for-agricultural-development/

 


ธุรกิจใดก็ตาม... หากถือกำเนิดเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท ทำอย่างสุดกำลังความสามารถ ก็ย่อมประสบพบความสำเร็จได้ไม่ยาก

แต่กว่าจะก้าวสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะระหว่างทางที่ธุรกิจก้าวผ่าน ก็ต้องมีอุปสรรคเข้ามาให้ต้องแก้ไข รับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่พัฒนาทันสมัยขึ้น


 

Business On My Way สัปดาห์นี้ขอพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ “คุณเอส” (พิสุทธิ์ ฆังคะมะโน) คนหนุ่มรุ่นใหม่ ที่นำความรู้ที่เรียนมาพัฒนาต่อยอดมาใช้กับธุรกิจทางบ้าน ยอมทิ้งเงินเดือนเดือนละ 100,000 กว่าบาท มาสานต่อธุรกิจฟาร์มไก่ไข่ ภายใต้ชื่อ “พรรัตภูมิ ฟาร์ม” ที่ปัจจุบันพัฒนาต่อยอดเป็น “ฟาร์มไก่ไข่ระบบอัจฉริยะ”

คุณเอส เล่าว่า ฟาร์มไก่ไข่เป็นธุรกิจที่คุณพ่อ-คุณแม่ สร้างกันขึ้นมาเอง โดยทำมาแล้ว 45 ปี ตั้งแต่ปี 2517 ซึ่งตอนนั้นมีการสนับสนุนจากภาครัฐส่งเสริมให้ประชาชนสร้างรายได้ โดยที่บ้านเลือกเลี้ยงไก่ไข่ เริ่มเลี้ยงที่จำนวน 300 ตัว โดยที่น่าภาคภูมิใจคือท่านทั้งคู่ ประกอบอาชีพนี้สามารถเลี้ยงดูลูกๆทั้ง 5 คน และส่งเสียให้เรียนจนจบการศึกษาปริญญาตรี

“ด้วยความที่เกิดและจำความได้ ก็คลุกเคล้าอยู่กับฟาร์มไก่ไข่มาแต่เด็ก มีความผูกพัน และคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งจะกลับมาพัฒนาธุรกิจของพ่อแม่ให้งอกงามออกดอกผล สามารถส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้”

แต่ในความเป็นจริงฝันนั้นก็ไม่ง่ายดั่งที่คิด เนื่องจากติดปัญหาทางความคิดของคน 2 เจเนอเรชัน คือรุ่นคุณพ่อ-แม่ ที่อายุ 70 กว่าปี และรุ่นผมที่อายุ 38 ปี โดยคุณพ่อ-แม่ จะมองว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอะไรที่ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะก็พิสูจน์มาแล้วว่าสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ในมุมของผมก็คิดว่า สามารถใส่เทคโนโลยีเข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงไก่ไข่ ให้ได้ผลิตภัณฑ์ไข่สดที่ดี


คุณเอส เล่าว่า ด้วยความที่ตนเองเรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านไอที ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็ได้เห็นโอกาสที่สามารถนำความรู้ที่เรียนมาต่อยอดพัฒนาฟาร์มที่บ้านได้ ซึ่งช่วงแรกก็ถูกปฏิเสธ โดยพ่อแม่ให้เหตุผลว่ามีความเสี่ยงสูง อาจขาดทุนได้ รวมถึงต้องมีการลงทุนที่เยอะ

หลังจากที่เรียนจบก็อยากกลับไปช่วยงานที่บ้าน แต่คุณแม่บอกไม่เป็นไรท่านยังทำได้ ซึ่งผมก็ไปหางานทำจนได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าวิศวกรบริษัทเอกชนเงิน 100,000 กว่าบาท ซึ่งก็ทำอยู่ประมาณ 10 ปีได้

กระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อคุณแม่โทร.มาคุยและท่านร้องไห้ เล่าถึงธุรกิจฟาร์มของทางบ้าน ที่อยู่ในช่วงถดถอย ถูกกดราคา ทำให้ยอดขายตกลง และท่านก็เอ่ยปากว่าเราจะมารับช่วงต่อหรือไม่ อยากให้ฟาร์มอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งผมก็ไม่รอช้าตัดสินใจยื่นใบลาออก เพื่อกลับไปรับไม้ต่อฟาร์มไก่ไข่

คุณเอส เล่าว่า หลังจากได้รับโอกาสจากทางบ้าน ตนก็เริ่มพัฒนาปรับปรุงฟาร์มให้เป็น “ฟาร์มไก่ไข่ระบบอัจฉริยะ” เริ่มที่โรงเรือนเลี้ยงไก่ โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเรื่องของระบบเซ็นเซอร์กว่า 30 ตัว ติดตั้งที่โรงเรือน ทำระบบแบบเลี้ยงปิด ติดพัดลมระบายอากาศ โดยสามารถเช็กได้ว่าอุณหภูมิในโรงเรือน ตรวจจับคุณภาพอากาศ ตรวจวัดแสงไฟที่ไก่ควรได้รับ

รวมถึงเช็กปริมาณอาหารและน้ำ ว่าไก่กินครบตามปริมาณที่กำหนดไว้หรือไม่ ตรวจสอบการทำงานของมอเตอร์พัดลมระบายอากาศ ตรวจสอบกระแสไฟฟ้าที่เข้าโรงเรือน ซึ่งหากพบความผิดปกติก็สามารถเข้าแก้ไขได้ทันที เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้


“การใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาฟาร์มครั้งนี้ ก็ส่งผลให้คุณภาพไข่ไก่ดีขึ้น ทั้งขนาดที่ได้มาตรฐาน ได้ผลผลิตไข่ไก่ที่เยอะขึ้น โดยโรงเรือนที่ปรับปรุงเป็นการพัฒนาจากโรงเรือนเก่าเลี้ยงไก่ 10,000 ตัว ก็ออกไข่เฉลี่ยวันละ 1 ฟอง/ตัว ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มปรับปรุงพัฒนาโรงเรือนที่ 2 ให้เป็นระบบอัจฉริยะเพิ่มแล้ว ซึ่งในอนาคตก็จะขยายต่อเนื่อง ให้ครบโรงเรือนเดิมที่มีอยู่ 7 โรง”

คุณเอส เล่าว่า ก็ถือเป็นโชคดีที่พัฒนาระบบได้เร็ว เนื่องจากพี่ชายก็จบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มา จึงมาช่วยกันพัฒนาฟาร์มด้วยกัน ทำแอปพลิเคชันแจ้งเตือนผ่านมือถือหากพบความผิดปกติในโรงเรือนเลี้ยงไก่ ซึ่งก่อนที่จะมาทำจุดนี้ ผมก็ตระเวนศึกษาดูงานการเลี้ยงไก่ไข่เก็บข้อมูลมากว่า 1 ปี เพื่อหาข้อเด่นข้อด้อย มาพัฒนาฟาร์มให้มีประสิทธิภาพที่สุด

ที่ผ่านมาเมื่อช่วงเดือน เม.ย.ปีนี้ ได้จัดทำโครงการฟาร์มไก่ไข่อัจฉริยะ ควบคุมด้วยเทคโนโลยี IoT กับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อขอทุนนำไปพัฒนาระบบอุปกรณ์ควบคุมเพื่อการพาณิชย์ต่อไป ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุน ถือเป็นการยกระดับฟาร์มไก่ไข่ของไทย

งานนี้ใครสนใจก็ไปศึกษาดูงานได้ที่ฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา หรือจะไปอุดหนุนไข่ไก่ที่ร้าน “ไข่ดี หาดใหญ่” อยู่ใกล้ตลาดน้ำวัดคลองแห หาดใหญ่ หรือไปดูความเคลื่อนไหวฟาร์มได้ที่เฟซบุ๊ก : ร้าน ไข่ดี หาดใหญ่ กันได้นะ!!

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น สัมมนาวิชาการ, นิทรรศการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตร, การสาธิตและการจัดแสดงผลงานวิจัยด้านการพัฒนาโคนมและอุตสาหกรรมโคนม โดยได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ และภาคเอกชน, บู๊ธออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และมีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลองชิมผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค รสชาติใหม่ๆ, การประกวดแข่งขันโคนมประเภทต่างๆ, การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP และสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตรต่างๆ, สัมผัสบรรยากาศฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค, การเปิดให้เยี่ยมชมโรงงานผลิตนมไทย-เดนมาร์ค, ชมสาธิตการรีดนมโค และการทำปุ๋ยนมสดจากผู้เชี่ยวชาญของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยคือ งาน Thai-Denmark Milksic Festival ครั้งที่ 3 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 พบปะกับศิลปินต่างๆ มากมาย เป็นต้น

สำหรับการจัดงานโคนมแห่งชาติในครั้งนี้ เครือซีพี ได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ เรียกว่า Cow Monitoring ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงดูวัว ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นได้ โดยวัดพฤติกรรมการเคลื่อนไหว การกิน และการเคี้ยวเอื้องของวัว (ทั้งวัวนม และวัวเนื้อ) เพื่อนำมาวิเคราะห์และช่วยในการบริหารจัดการ แจ้งเตือนเมื่อวัวมีอาการเป็นสัดและถึงรอบของการผสมพันธุ์ แจ้งเตือนระยะเวลาที่เหมาะสมของการผสมพันธุ์ แจ้งเตือนเมื่อวัวมีอาการป่วย มีระบบการบันทึกติดตามประสิทธิภาพการผสมพันธุ์วัว

นวัตกรรมใหม่นี้ เป็นของ Allflex ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยี ด้าน Animal identification และ livestock monitoring อันดับหนึ่งของโลก ได้จับมือกับ เครือซีพี คืือ True และ CPF ในการนำ solution นี้ ให้เข้าถึงเกษตรกรไทยทั้งประเทศ โดยได้ทำการ partner กันแบบ exclusive สำหรับการนำ tag รูปแบบติดหูมาใช้ในประเทศไทย

เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวในประเทศไทยได้ทดลองใช้นวัตกรรมใหม่นี้ เครือซีพี ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับ fanpage เทคโนโลยีชาวบ้าน โดยลูกค้า 5 ฟาร์มแรก จาก page เทคโนโลยีชาวบ้าน ที่มาลงทะเบียนรับสิทธิ์ รับ True Digital Cow x SenseHub เริ่มต้นเพียง 199 บาท เท่านั้น พบกับนวัตกรรมใหม่นี้ ได้ที่บู๊ธ CPF ภายในงานโคนมแห่งชาติ 2563 ระหว่าง วันที่ 29 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://bit.ly/36eOfvP

 อ.ประดิษฐ์ ดีใจ และ อ.พนิตา ภักดี อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาเทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกรุงเทพสุวรรณภูมิ ได้ร่วมคิดค้นต้นแบบโรงเรือนเลี้ยงเป็ดอัจฉริยะsmart farm โดยมีนักศึกษาในสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการ ช่วยทำโรงเรือนตามแนวคิดให้เกิดขึ้น เป็นระบบฟาร์มแบบอัตโนมัติที่สามารถควบคุมดูแลโดยระบบตู้ควบคุมอิเล็กทรอนิค ทำให้แทบไม่ต้องใช้คนดูแล ประหยัดแรงงานและเวลา ที่สำคัญเป็นฟาร์มที่ใช้พลังงานหลักจากแสงอาทิตย์หรือแผงโซลาร์เซลล์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถดูแลควบคู่กับการทำอาชีพหลักหรืองานประจำได้

 

smart farm แห่งนี้ ประกอบไปด้วย

  • ระบบให้น้ำและให้อาหารเป็ดอัตโนมัติ
  • ประตูคอกเป็ดเลื่อนเปิดปิดอัตโนมัติ
  • ระบบควบคุมอุณหภูมิโรงเรือน
  • ระบบเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าแบบอัตโนมัติในฟาร์มเป็ด

 

1.ระบบให้น้ำอัตโนมัติ
 
            ทางฟาร์มกำลังปรับปรุงระบบให้เป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิคมาช่วยควบคุม ซึ่งที่  เดิมจะเป็นเพียงระบบตั้งเวลาให้น้ำเป็ดแบบอัตโนมัติ พอน้ำเริ่มสกปรก ตัวตั้งเวลา (Timer) จะสั่งการโดยปล่อยไฟฟ้าไปยัง โซลินอยด์วาล์วเพื่อเปิดให้น้ำถูกดูดออกไปทิ้งข้างนอก ซึ่งบางครั้งยังคงเหลือเศษอาหารค้างอยู่ในรางให้น้ำจนเกิดอุดตันรางน้ำ แต่ระบบใหม่ เมื่อน้ำถูกดูดออกไป จะมีการทำความสะอาดตัวรางให้น้ำโดยใช้แรงดันน้ำฉีดไล่น้ำที่มีสิ่งสกปรกให้ออกไปตามท่อน้ำทิ้งด้านท้ายของรางน้ำด้วย

         ระบบฟาร์มต้นแบบนี้ถือได้ว่าเป็นระบบสมาร์ทฟาร์มSmart farm ที่เกษตรกรสามารถจับต้องได้ สามารถนำวัสดุในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ได้  ที่สำคัญทางฟาร์มได้ทำให้ระบบของฟาร์มเป็นระบบที่ไม่มีของเสียเหลือทิ้ง (Zero waste)
 
            โดยปกติเมื่อน้ำสกปรกที่เหลือทิ้งจากรางให้น้ำของฟาร์มจะมีอยู่ประมาณวันละ 20 ลิตร และถูกทิ้งไปเฉยๆ แต่ในปัจจุบัน เราจะนำน้ำจากส่วนนี้มาใช้ประโยชน์ด้วยการใช้รดน้ำผัก ซึ่งก็ต้องมีการคำนวนการจำนวนการปลูกผักให้พอดีกับปริมาณน้ำที่ใช้รดในแต่ละวันด้วย และพื้นที่ปลูกผักก็ต้องมีเพียงพอกับจำนวนผักที่จะปลูก ซึ่งน้ำจากรางระบบให้น้ำนี้จะมีส่วนผสมของอาหารต่างๆที่ติดมาจากปากเป็ด ละลายผสมอยู่ด้วย ทำให้น้ำจากส่วนนี้มีธาตุอาหารหรือปุ๋ยที่พืชต้องการ สำหรับการน้ำเสียออกจากรางให้น้ำไปรดผักนั้น เราจะทำวันละ 3 ครั้ง คือเช้า กลางวัน เย็น เพื่อลดการหมักหมมของน้ำและทำให้มีของเสียเหลือทิ้งน้อยที่สุด ( Zero waste)

 

 

2.ระบบให้อาหารอัตโนมัติ
  

การทำงาน : เมื่ออุปกรณ์ตั้งเวลา(Timer)สั่งไฟจ่ายให้มอเตอร์ทำงาน และไฟจ่ายอุปกรณ์ตั้งเวลาแบบเข็ม (Timer)ตัวหน่วงเวลาพร้อมกัน มอเตอร์จะหมุนชุดใบสกรูขับอาหารออกมาตามเวลาที่ตั้งไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงอายุของเป็ดและจำนวนที่เลี้ยง ถ้าเป็ดมีจำนวนมาก อาจตั้งเวลาในการปล่อยอาหารลงมานานกว่าเป็ดเล็ก หรือเป็ดที่มีจำนวนน้อยกว่า เมื่อครบเวลาอุปกรณ์ตั้งเวลาจะสั่งตัดไฟให้มอเตอร์และหยุดหมุน เป็นอันจบกระบวนการทำงานของเครื่องให้อาหาร
            จำนวนเป็ดที่เลี้ยงในฟาร์มสามารถเลี้ยงตัวเมียได้ทั้งหมดประมาณ 50 แม่พันธุ์ และพ่อพันธุ์อีกประมาณ10 ตัว รวมแล้ว 60 ตัว สำหรับการเลี้ยงเป็ดด้วยระบบฟาร์มแบบนี้ควรเป็นเป็ดที่เราเลี้ยงเองมาตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเคยชินกับอาหารเม็ดที่ให้ แต่หากเป็นเป็ดที่โตมากับการเลี้ยงแบบชาวบ้านด้วยการให้หยวกกล้วยให้รำ บางตัวก็กินอาหารเม็ดของฟาร์ม บางตัวก็ไม่กิน บางตัวกินจนกระเพาะแตก เนื่องจากไม่รู้ว่าอาหารเม็ดเมื่อโดนน้ำจะพองตัว และทำให้กระเพาะแตก

 

3. ประตูเลื่อนเปิดปิดอัตโนมัติ
      ประตูจะเปิดเมื่ออุปกรณ์ตั้งเวลา (Timer)สั่งไฟจ่ายให้มอเตอร์ทำงาน มอเตอร์ชุดเฟืองขับจะหมุนเฟืองตามโดยใช้โซ่เป็นตัวดึงไปจนชนลิมิตสวิตซ์ด้านหลังของราง ประตูจะหยุดทันที และประตูจะปิดเมื่ออุปกรณ์ตั้งเวลา(Timer)สั่งไฟจ่ายให้มอเตอร์ทำงาน มอเตอร์ชุดเฟืองขับจะหมุนเฟืองตามโดยใช้โซ่เป็นตัวดึงไปจนชนลิมิตสวิตซ์ด้านหลังของราง ประตูจะหยุดทันที เช่นในช่วงเช้าประตูจะเปิดออกโดยอัตโนมัติให้เป็ดเดินเล่นในพื้นที่โล่ง พอถึงช่วงเย็น ประตูจะค่อยๆปิดเพื่อต้อนให้เป็นเข้าคอก เป็ดจะได้ไข่ภายในคอกเพียงที่เดียว

 

4.ระบบควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือน

        ส่วนประกอบ :

  • พัดลมระบายความร้อน ขนาด 1แรงม้า 500วัตต์ 220โวลต์กระแสสลับ 2 ตัว
  • ไฟให้ความอบอุ่นขนาด 100วัตต์ 220โวลต์ 2 หลอด กระแสสลับ 40 วัตต์ 220 โวล์ 2
  • หลอด และหลอดไฟให้แสงสว่าง 5 วัตต์ 5 หลอด

       การทำงาน : ถ้าโรงเรือนอุณหภูมิสูงเกินที่กำหนด พัดลมจะช่วยดูดอากาศร้อนออกไปนอกโรงเรือน และหลอดไฟจะเป็นตัวช่วยเพิ่มอุณหภูมิในโรงเรือนในกรณีที่อุณหภูมิในโรงเรือนต่ำเกินไป โดยทำสั่งในการควบคุมอุณหภูมิจะมากจากตู้ควบคุมอิเล็กทรอนิค ซึ่งพื้นที่ของฟาร์มสามารถผลิตลูกเป็ดได้ประมาณ100ตัวต่อเดือนโดยไม่ได้ใช้ตู้ฟัก โดยเป็ดเนื้อจะใช้เวลาหลังจากฟักจนอายุ 3 เดือน หรือช่วงขนเต็ม ถ้าตัวผู้จะใช้ระยะเวลา 2 เดือน จึงสามารถจับขายได้

 

     นวัตกรรมโรงเรือนอัฉริยะสามารถตอบโจทย์บุคคลทั่วไปที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงเล็กๆไว้ในบ้านได้ เพียงแต่ย่อขนาดของอุปกรณ์ต่างๆให้เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยง  ซึ่งถ้าเป็นฟาร์มเลี้ยงสุนัข เราก็สามารถนำระบบการให้น้ำให้อาหารอัตโนมัติไปใช้ในฟาร์มได้เลย และระบบฟาร์มแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่มีอาชีพ หรือประจำอยู่แล้วสามารถนำระบบฟาร์มแบบนี้มาใช้เพื่อเป็นอาชีพที่ 2และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง เนื่องจากเป็นระบบที่ไม่ต้องการคนดูแลมาก และแทบไม่มีของเสียเหลือทิ้งจากฟาร์ม (Zero waste)

 

ข้อมูลจาก วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 2/2560 "นวัตกรรมทำเกษตรน้ำน้อย จัดการน้ำในแปลงเกษตรหน้าแล้ง"

ก้าวต่อไปของเกษตรกรไทย แฮปปี้ฟาร์ม-สมาร์ทโซลูชั่น บีทีเอช-วัน นวัตกรรมที่ผสมผสานรูปแบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำร่วมกับการใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และอินเทอร์เน็ต เพื่อจัดเก็บข้อมูล รายงานผล และปรับแต่งอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ เป็นเกษตกรยุคใหม่ หรือ Smart Farm การตรวจวัดและรายงานคุณภาพน้ำแบบ Realtime ผ่านระบบ Internet of Things ตลอด 24 ชั่วโมง ทางเลือกของเกษตรกรยุค 4.0 เพื่อยกระดับภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุน ลดความเสี่ยง เพิ่มคุณภาพผลผลิต โซลูชั่นสำหรับฟาร์มสัตว์น้ำซึ่งประกอบไปด้วยการทำงานร่วมกันของระบบการทำงานในฟังก์ชั่นต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. ระบบเซ็นเซอร์ติดตามสภาพน้ำ ทั้งค่าดีโอ ค่าพีเอช ค่าแอมโนเนีย ค่าอุณหภูมิของน้ำ ตลอดจนปริมาณกระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าในฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. เครื่องส่งข้อมูล และประมวลผล ทรานสมิตเตอร์ พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิด Automated ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าในฟาร์ม

3. เครื่องรับข้อมูล และประมวลผล รีซีฟเวอร์ พร้อมบันทึกข้อมูลลงดาต้าเบส เพื่อใช้เป็นข้อมูลให้การวางแผนในการเพาะเลี้ยง

4. ระบบสั่งการผ่านสมาร์ทโฟน Application รายงานวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อกำหนดสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์น้ำในฟาร์ม สามารถดูแลบริหารจัดการฟาร์มผ่านระบบออนไลน์ได้จากทุกที่ แฮปปี้ฟาร์ม สมาร์ทโซลูชั่น มีทีมงานคอยให้คำแนะนำและบริการหลังการขายอย่างครบวงจร เพื่อสมาร์ทฟาร์มไทย ก้าวไกลแบบยั่งยืน

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=58IbRLks86s

Aqua Grow

ทีมวิจัยจึงได้พัฒนา ‘อะควาโกรว์’ เป็นระบบอัจฉริยะที่ช่วยเกษตรกรติดตามดูแลคุณภาพน้ำในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก คือ

  1. ระบบบริหารจัดการคุณภาพน้ำ
  2. อุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณสารเคมี
  3. อุปกรณ์ตรวจวัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

โดยจะมีการบันทึกและรวบรวมข้อมูลทั้ง 3 ด้านแบบ Real-time ผ่านเครือข่ายInternet of Things (IoT) ที่สำคัญระบบสามารถนำข้อมูลที่บันทึกมาวิเคราะห์เพื่อแจ้งเตือน พร้อมทั้งให้คำแนะนำการปรับสภาพบ่อเลี้ยงในเบื้องต้นแก่ผู้ใช้ เมื่อบ่อเลี้ยงอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงได้อีกด้วย

จุดเด่นของเทคโนโลยี อะควาโกรว์

  • เป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการฟาร์มและการเพาะเลี้ยงกุ้งเศรษฐกิจแบบ Real-time และเชื่อมโยงข้อมูลแบบครบวงจร เป็นรายแรกของประเทศไทย ด้วยฝีมือนักวิจัยไทยเอง
  • ระบบสามารถประเมินคุณภาพน้ำเบื้องต้น พร้อมทั้งให้คำแนะนำสำหรับการปรับสภาพบ่อได้ทันที ขณะที่ผู้ใช้งานก็สามารถดูข้อมูลและบริหารจัดการฟาร์มได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ตโฟน
  • ที่สำคัญระบบ อะควาโกรว์ ยังนำไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น โรงงานผลิตอาหารหรือสินค้าแปรรูป ได้อีกด้วย

Aqua Grow

อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้ง เป็นอุตสาหรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่า 100,000 ล้านบาท/ปี และปัจจุบันมีฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งแบบหนาแน่นถึง 20,000 ฟาร์ม ทั่วประเทศ ดังนั้น อะควาโกรว์ จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยเกษตรกรติดตาม เฝ้าระวังคุณภาพต่าง ๆ ของบ่อเพาะเลี้ยงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทุกที่ทุกเวลา ช่วยลดการสูญเสียของผลผลิต ป้องกันความเสียหายจากภาวะกุ้งตายด่วนได้อย่างทันท่วงที และเมื่อผลผลิตกุ้งมีคุณภาพดี มีปริมาณมากขึ้น ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรมากขึ้น และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกกุ้งรายใหญ่ในตลาดโลกต่อไปอย่างยั่งยืน

Aqua Grow

กลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมาย

  • เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
  • ผู้จำหน่ายชุดทดสอบ
  • ผู้ผลิตและจำหน่ายจุลินทรีย์
  • ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
  • ผู้รับเหมาติดตั้ง Smart Farm

วิจัยและพัฒนาโดย

ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ (PTL)

ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (EST)

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ

สนใจ / สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและถ่ายทอดเทคโนโลยี (BTT)

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)

โทร. 0 2564 6900 ต่อ 2346, 2351-2354, 2357, 2382, 2383, 2399

email : business[at]nectec.or.th